วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เผยผู้หญิงเพิ่มการเสพติดเฟซบุ๊คมากขึ้น


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวัน ที่ 9 ก.ค.ว่า ผลการวิจัยจากหน่วยงานออกซิเจน"มีเดีย แอนด์ ไลท์สปีด"ระบุว่า

ผู้หญิงสหรัฐเพิ่มการเสพติดเครือ ข่ายชุมชนออนไลน์"เฟซบุ๊ค"มากขึ้น โดยจากการสำรวยกระทำระหว่างเดือนพ.ค.-มิ.ย.2010 พบว่า ผู้หญิง 1 ใน 3 ที่มีอายุ 18-34 ปี ได้ตื่นมาเปิดเฟซบุ๊ค ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ 21 % ของผู้หญิงวัยเดียวกัน ยังนิยมเช็คเฟซบุ๊คในตอนกลางคืน ขณะที่ 42 % รู้สึกชอบใจที่ได้เห็นรูปตัวเองเมาเพราะการดื่ม และ 79 % รู้สึกชอบที่ได้เห็นผู้คนจูบกันในเฟซบุ๊ค,50 % นิยมติดตามเรื่องราวของเพื่อนสมาชิกคนอื่น และ 50 % รู้สึกชอบที่ได้เห็นเพื่อนทางเฟซบุ๊คอยู่กับคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่รู้จัก

ผล สำรวจยังระบุว่า ผู้ชาย 60 % ต่างชอบใช้เฟซบุ๊คในการนัดเดทกับผู้คนที่พวกเขาพบในเฟซบุ๊ค

ส่วนผู้หญิง 50 คน ก็มีพฤติกรรมทำนองนี้ นอกจากนี้ผู้ชาย 24 % ยังใช้เฟซบุ๊คประกาศตัดสัมพันธ์กับคู่รัก ส่วนผู้หญิงคิดเป็น 9 % .ในขณะที่ ผู้หญิง 49 % เชื่อว่าเป็นการดีที่จะใช้เฟซบุ๊คติดตามพฤติกรรมของคู่รัก ส่วนผู้ชายมีพฤติกรรมทำนองนี้น้อยกว่า หรือคิดเป็น 42 %

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน


7 มารยาทที่คุณห้ามทำในต่างประเทศ ไม่งั้นคุณอาจตายได้


ถ้าคุณมีโอกาสได้ไป เที่ยวต่างประเทศในวันหยุด บางทีคุณอาจจำเป็นต้องเรียนสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำจากวัฒนธรรมประเทศนั้นๆ ด้วย ไม่งั้นคุณอาจตายโดยไม่รู้ตัว เพราะดูหมิ่นเขาอย่างสุภาษิตไทยที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม และวันนี้เรามาเรียนรู้กริยามารยาทที่ห้ามทำในต่างประเทศนั้นๆ ดีกว่า หลายประเทศมีวัฒนธรรมและความเชื่อในแบบของเขา มายาทบางอย่างของเรามีความหมายอีกอย่าง แต่บ้านเขาความหมายไปโน้นเลย เราไม่ได้ตั้งใจลบหลู่เขานะ อื้อๆ............ ถ้าคุณไม่เชื่อละก็คุณลองทำกริยาพวกนี้ในประเทศนั้นๆ ดูเถอะนะ จะได้รู้ว่าเรื่องที่ผมพูดจริงหรือไม่!!



อันดับ 7 ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก (Extend Your Hand, Palm Outward in Greece)


สากล:พอแล้วครับอิ่มแล้วครับ (เป็นภาษากายประมาณว่าผมไม่เอา)


กรี ก: "นี่นายว่าหน้าฉันมีอุจจาระเรอะ!!"


ในประเทศกรีกการแสดงอากัปกิริยาโดยทำแผ่ฝ่ามือแบบนี้ต่อหน้าชาวกรีกนั้น ถือว่าเป็นการดูถูกพวกเขาครับ มันที่มาคือ ในสมัยอาณาจักรไบเวนไทน์ Byzantine เมื่อใดที่อาชญากรทำผิดอาญาเขาจะจับคนนั้นขังบนกรงและแห่เป็นขบวนพาเหรดบน หลังม้าตามท้องถนน และผู้คุมจะสีดำลงในหน้าของนักโทษเพื่อประจาน ถือว่าอับอายมากๆ ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นคุณทำมือแบบนี้ละก็ ชาวกรีกจะนึกว่าคุณกำลังดูถูกพวกเขาอย่างมากๆ เพราะคุณเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษที่น่าอับอายนี้เอง




อันดับ 6 ห้ามยกนิ้วโป้งที่ประเทศตะวันออกกลาง (Give the Thumbs-Up In The Middle East)


สากล: "กู๊ด มันยอดเยี่ยม"

ตะวัน ออกกลาง: "เดี๋ยวฉันจะเอานิ้วโป้งนายยัดรูตูดเอ็ง"

มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่ยกหัวนิ้วโป้งในตะวันออกกลางนี้ แม้ว่ายกนิ้วโป้งจะเป็นการแสดงอากิริยาสากลก็เถอะ เราไม่รู้ที่มาการห้ามนี้มาจากที่ใด แต่สัญลักษณ์การยกนิ้วหัวแม่มือนั้นเป็นสัญญาณที่เคยมากว่าพันปีมาแล้วใน สมัยโรมัน การต่อสู้ในสังเวียนเลือด(โคโลเซียมหรือเวทีประลอง) พวกนักต่อสู้(ซึ่งเป็นทาส คนผิวดำ ยิว)ที่แพ้ในเวทีจะถูกตัดสินโดยเจ้าภาพว่าจะอยู่หรือตาย โดยถ้าเจ้าภาพจะทำมือเอานิ้วหัวแม่มือขึ้น-ลง ถ้ายกนิ้วโป้งขึ้นจะรอด แต่ถ้ายกหัวนิ้วมือลงนักสู้คนนั้นจะโดนฆ่า และแหล่งกำเนิดนี้ถูกนำไปเผยแพร่รอบๆ อาณานิคมของโรมในที่สุด ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นจริงความหมายดั้งเดิมของมันคงจะเป็น "อย่าฆ่านักโทษนะเว้ย เพราะตรูเป็นเจ้าชีวิตของพวกมัน"




อันดับ 5 มารยาทอาหารในไทย/ฟิลิปปินส์/จีน (Finish Your Meal In Thailand / The Philippines / China)


สากล:นี้เป็นอาหารอร่อย แต่ตอนนี้กระเพาะผมจุไม่ได้แล้วครับ ขออภัยด้วยที่กินเหลือ

เอเชีย: มองด้วยสายตาไม่พอใจ......


ใน ประเทศจีน ถ้าคุณกินหมดจนคำสุดท้าย มันแปลว่าเขาให้อาหารคุณไม่พอกิน เพราะงั้น ไม่ว่าอาหารนั้นจะอร่อยแค่ไหน คุณก็ต้องกินเหลือไว้อย่างน้อยคำหนึ่งเสมอ และในจีน ถ้าคุณกินไปคุยไป (คุยในขณะที่อาหารเต็มปาก) และถึงกับเรอเมื่ออิ่มนั้น เป็นมารยาทดีสุด ๆ (เพราะแปลว่าอาหารอร่อยมาก และคุณอิ่มแล้ว) และเขาก็เล่นมุขด้วยว่าแต่อย่าเผลอตดแถมให้ด้วยล่ะ (เพราะอันนั้นเป็นมารยาทที่ไม่ดีในทุกสังคม)



อันดับ 4 ห้ามพบปะสนทนากับเพศตรงข้ามในซาอุดิอาระเบียโดยเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น (Say "Hi" to a Member of the Opposite Sex in Saudi Arabia)


สากล: "สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"

ซาอุฯ: "สวัสดี ตอนนี้คุณมีความผิดฐานร่วมประเวณีผิดศิลธรรมของประเทศเราแล้วละ ชื่อของคุณจะอยู่แฟ้มประวัติอาชญากรรมแน่นอน"

ซาอุดิอาระเบียมี กฎหมายที่เคร่งศาสนาเพื่อป้องกันการผิดศีลธรรมต่างๆ นาๆ คุณอาจเห็นกฎหมายห้ามชายและหญิงมีชู้, ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว(มันก็ดีนี้น่า) แต่ถ้าใครละเมิดอาจจะได้รับบทลงโทษที่แสนรุนแรงตามมาแน่นอน หนึ่งในนั้นก็มีกฎหมายห้ามผู้หญิง(รวมถึงผู้หญิงต่างชาติ)จับมือทักทาย ผู้ชายต่อหน้าสาธารณชนหรือสมาคม และผู้ชายใดๆ ที่ไม่ใช้สามีของเธอโดยปราศจากผู้ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ผู้หญิงสหรัฐคนหนึ่งที่ติดต่องานโดยสนทนาและจับมือกับผู้ชายในStarbucks และถูกการจับกุมและถึงขั้นขึ้นศาล




อันดับ 3 ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย (Give an Even Number of Flowers in Russia)

สากล: "ฉันชอบเสน่ห์ของเธอเหลือเกิน มันเลยขอมอบดอกไม้ให้แทนความรู้สึกของเรา

รัสเซีย: "ตาย! ตาย! ตาย! อ๊าคคคคคคคคคคคค"

ในรัสเซียดอกไม้จำนวนเลขคู่นั้นใช้ในงานศพเท่านั้นนะครับ และแน่นอนเกิดขึ้นเอาดอกไม้จำนวนคู่เป็นของขวัญให้คนรัสเซียละก็มีหวังได้ เห็นหมัดแน่นอน เพราะมันเหมือนกับเราแช่งให้เขาตายเร็วๆ เวลาจะให้ดอกไม้แก่คนรัสเซียควรให้ดอกไม้เลขคี่ดีกว่าและคนรัสเซียก็ไม่ให้ ความสำคัญแก่สีของดอกไม้มากนัก

พูด ถึงรัสเซีย รัสเซียนี้มีประวัติวัฒนธรรมประเพณีที่ยาวนาน ถ้าเราศึกษาดีๆ จะพบข้อที่ห้ามทำนรัสเซียอยู่เยอะ เช่น ไม่ควรจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน,ห้ามปฏิเสธการดื่มอวย พร,เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกเป็นให้เจ้าภาพด้วย เป็นต้น





อันดับ 2 ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้ายข้างเดี่ยวในบางประเทศ ( Give a Gift With Your Left Hand, Pretty Much Anywhere)


สากล: ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอสวยมาก ฉันขอมอบของขวัญให้แก่ลูกสาวของคุณ เพราะฉันรักคุณ (ส่งด้วยมือซ้าย)


บางประเทศ: (อีกฝ่ายคิด)ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอไร้ค่ามาก เหมือนอาเจียนของสุนัขที่ฉันไปเจอมา ฉันขอมอบของขวัญนี้ให้ เพราะฉันเกลียดคุณ


ในบางประเทศถือได้ว่ามือซ้ายเป็นมือที่สกปรก โสโครก เพราะเรามักใช้มือซ้ายจับได้สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง เช่นเรามักใช่มือซ้ายในการชำระล้างสิ่งปฏิกูลเวลาเข้าส้วม(สำหรับคนถนัดขวา นะ,ลูบหน้า,นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรมในบางประเทศเชื่อว่าคนถนัดซ้ายคือสมุน ของซาตาน ส่วนคนถนัดขวาคือมนุษย์ ซึ่งในหลายประเทศที่ห้ามส่งของขวัญด้วยมือซ้ายก็มี อินเดีย,แอฟริกา, ศรีลังกา,ประเทศตะวันออกกลาง

พูดถึงการให้ของ ขวัญแก่คนต่างประเทศนี้ก็มีข้อความรู้อีกเยอะ เช่น อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน, อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศ ซึ่งมันอาจเป็นมารยาทเล็กๆ ที่คุณอาจต้องรู้ไว้เวลาจะถูกมิตรกับคนต่างชาติ เพราะคนต่างชาติไม่มองคุณเป็นคนขี่ม้าที่สี่ของบันทึกทางศาสนาของยิวแน่ นอน(กษัตริย์ทั้งสี่ในศาสนาคริสต์ที่มอบของขวัญแก่พระเยซูคริสต์ในช่วง ประสูติ)





อันดับ 1 ห้าม "OK" ที่บราซิล (Give the "OK" Sign in Brazil)


สากล:ตกลง!! โอเค

บราซิล:ฮา ยบราซิล!! ฉันคือ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ของ USA ฉันกำลังจะไปแตะผ่าหมากคุณแล้ว

บราซิล คือดินแดนแห่งสาวสวย หาดทรายขาว และวัฒนธรรมเปิดกว้างเป็นมิตร แต่ถ้าคุณทำมือโอเคแก่ชาวบราซิลละก็ จากมิตรจะกลายเป็นศัตรูทันใด!!

ในบราซิลการทำมือ โอเคหรือตกลงนั้นไม่ควรนำมาใช้อย่างยิ่งเพราะการทำมือ "ตกลง" เป็นการแสดงอากัปกิริยาเทียบเท่าได้กับ"ฟักยู" ในอเมริกา(โชว์นิ้วกลาง)

เราไม่รู้ว่าประวัติของการห้ามทำสัญญามือของบราซิลนี้มีที่มา อย่างไร แต่มันก็เคยเกือบเป็นปัญหาประทศมาแล้วเมื่อ ปี 50 นิกสันมายืนอเมริกาและในขณะก้าวจากเครื่องบิน ฝูงชนรัวกล้องถ่ายรูปประชิดตัว และขณะนิกสันกำลังก้าวไปขึ้นรถนั้นเอง เขาก็ทำมือโอเคทักทายต่อหน้ากล้องและประธานาธิปตรีคนแรกของบราซิล แน่นอนคนบราซิลก็นึกว่านิกสันจะเตะผ่าหมากคนทั้งบราซิล

สรุปก็คือการมาเยือนของนิกสันในบราซิลครั้งนี้ก็คือการถูกต้อนรับด้วย ปัสสาวะ,อึ ที่กระหนำปาใส่รถลีมูซีนที่ท่านนั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง.......(ที่ไม่สุภาพ เพราะว่า การทำมือ o.k. โดยเอานิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้ จะเกิดเป็นรูกลมๆ ครับ ซึ่งชาวบราซิลถือว่ารูนี้ เปรียบกับ "รูทวาร" ในภาษาของเค้าใช้คำว่า Cu "กู" ถ้าจะด่าด้วยการใช้ภาษามือนี้ ซึ่งความหมายมันจะเหมือนประโยค Vai Tomar Nu Cu อ่านว่า " วาย โตมาร์ นู คู " (vai = ไป , tomar = กิน , nu = เปลือย , cu = รูทวาร) ซึ่งเป็นคำด่าหยาบมาก คงประมาณว่าไปตายซะ ! ไรทำนองนี้ ...)

ที่มาจากเว็บเด็กดี


GUCCI History

Gucci, or the House of Gucci, is an Italian haute couture establishment. It was founded by Guccio Gucci in Florence in 1921. Like many other high-fashion companies, Gucci began as a small, family-owned saddlery and leather goods store. Guccio Gucci was the son of an Italian merchant form the country's northern manufacturing region.

In 1898 Guccio Gucci left Florence in Italy to traveled to Paris and London, where he "gained an appreciation of cosmopolitan culture, sophistication, and aesthetics". So in 1905 he returned to Italy and started selling saddles and saddlebags, and was quite successful.

Gucci opened his first boutique in the family's native Florence in 1921 and quickly built a reputation for quality, hiring the best craftsmen he could find to work in his atelier. In 1932 Guccio Gucci created the loafer shoe with a gilded snaffle. These are the only shoes to have found a place in New York's Museum of Modern Art.

In 1938, Gucci expanded and a boutique was opened in Rome. Guccio was responsible for designing many of the company's most notable products. In 1947, Gucci introduced the bamboo handle handbag, which is still a company mainstay.

Guccio and his wife Aida Calvelli had a large family, six children in all, though only his sons - Vasco, Aldo, Ugo, and Rodolfo - would play a role in leading the company. After Guccio's death in 1953, Aldo helped lead the company to a position of international prominence, opening the company's first boutiques in London, Paris and New York.

Even in Gucci's fledgling years, the family was notorious for its ferocious infighting. Disputes regarding inheritances, stock holdings, and day-to-day operations of the stores often divided the family and led to alliances. As the Gucci expanded overseas, board meetings about the company's future often ended with tempers flaring and luggage and purses flying.

Gucci targeted the Far East for further expansion in the late 1960s, opening stores in Hong Kong and Tokyo. At that time, the company also developed its famous GG logo (Guccio Gucci's initials), the Flora silk scarf (worn prominently by Hollywood yctress Grace Kelly), and the Jakie O shoulder bag, made famous by Jackie Kennedy, the wife of U.S. President John F. Kennedy.

Gucci remained one of the premier luxury goods establishments in the world until the late 1970s, when a series of disastrous business decisions and family quarrels brought the company to the verge of bankruptcy. At the time, brothers Aldo and Rodolfo controlled equal 50% shares of the company, though Aldo felt that his brother contributed less to the company that he and his sons did.

In 1979, Aldo developed the Gucci Accessories Collection, or GAC, intended to bolster the sales for the Gucci Parfums sector, which his sons controlled. Aldo relegated control of Parfums to his son Roberto in an effort to weaken Rodolfo's control of the overall operations of the company. Though the Gucci Accessories Collection was well received, it proved to be the destabilizing force that brought the Gucci dynasty crashing down.

Within a few years, the Parfums division began outselling the Accessories division. The newly-founded wholesaling business had brought the once-exclusive brand to over a thousand stores in the United States alone with the GAC line, deteriorating the brand's standing with fashionable customers.

It didn't take long before counterfeiters ravaged the company's pomp by flooding the market with cheap knockoffs, further tarnishing the Gucci name. Meanwhile, infighting was taking its toll on the operations of the company back in Italy: Rodolfo and Aldo squabbled over the Parfums division, of which Rodolfo controlled a meager 20% stake.

By the mid-1980s, when Aldo was convicted of tax evasion in the United States by the testimony of his own son, the outrageous headlines of gossip magazines generated as much publicity for Gucci as its designs. In 1983 Rudolfo died of cancer, Maurizio his, inherited his share and took over running the business.

Maurizio allied with Aldo's son Paolo to gain control of the Board of Directors and established the Gucci Licensing division in the Netherlands for tax purposes. Following the decision, the rest of the family left the company and, for the first time in years, one man was at the helm of Gucci. Maurizio sought to bury the fighting that had torn the company and his family apart and turned to talent outside of the company for Gucci's future.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น