วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำมากเกินไปก็ไม่ดีน่ะ


ก่อนหน้านี้เรามักจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า "การดื่มน้ำมาก ๆ นั้นดีต่อร่างกาย" แต่ดูเหมือนว่าคำแนะนำนี้จะค่อนข้างใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


ทั้งนี้เนื่องจากว่าในระยะหลังมานี้มีข้อโต้แย้งคำแนะนำดังกล่าวนี้มากขึ้น โดยดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน

ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่นขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด
นอกจากนี้นักเคมีบำบัดของเยอรมันยังกล่าวว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไปนั้นก็เป็นอันตรายเช่นกัน เช่นในหมู่นักกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้โซเดียมในร่างกายลดลง แถมการดื่มน้ำมากเกินไปก็ยิ่งทำให้เกิดการกระหายน้ำมากขึ้นด้วย



แต่ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ด้วย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี ๆ คือ 6 - 8 แก้ว (ประมาณ 1.2 ลิตร) จะดีกว่าค่ะ


ที่มา fwmail

คิดให้ดีก่อนคิดจะซื้อของ Sale


สาวๆ คนไหนที่ชอบตาโตเวลาเห็นป้ายตัวโตเขียนว่า Sale โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีห้างดังต่างๆ ก็ขนเอาสินค้ามากมายมา Sale สาวๆขอช้อปก็พากันไปจับจ่ายซื้อมาอย่างบ้าคลั่ง

ซึ่งบางทีอาจจะทำให้คุณอาจต้องมานั่งเสียใจภายหลังเพราะเ
งินในกระเป๋าหมดไป กับของที่ไม่จำเป็นก็ได้นะค่ะ มาคิดและตังสติกันสักนิดก่อนคิดจะซื้อของ Sale

1. ตั้งเป้าหมายกันหน่อยว่า จะซื้อของขวัญให้ใครบ้าง เขียนรายการเลย นึกไว้ก่อนยิ่งดีว่าจะซื้ออะไรให้ใคร

2. ไม่จำเป็นต้องซื้อของขวัญให้แต่ละคนเฉพาะตัว ขอแนะนำให้ซื้อแบบยกโหลออกแนวของชำร่วย ไปดูแผนกลดราคาที่แต่ละชิ้นไม่แพงมาก จะคุมงบได้ดีกว่า หรือให้แบบชิ้นใหญ่ให้ไปแบ่งกันเอง อย่างขนมต่างๆ

3. ตั้งงบในการซื้อ เวลาไปจริงจะได้ซื้อตามงบ ข้อดีอีกอย่างก็คือช่วยให้ไม่ต้องเผลอซื้อของที่ราคาลดกระหน่ำจริง แต่พอรวมๆ แล้วบานเกินงบไปเยอะ

4. ช่วงเซลล์นี้พยายามไปหาซื้อของคราวเดียวให้จบ หรือไปให้น้อยครั้งที่สุด ยิ่งไปบ่อยยิ่งเผลอซื้อของลดราคาอย่างอื่นพ่วงมามาก แล้วอย่าลืมบวกค่ารถด้วยล่ะ

5. กระบะเซลล์ถูกสุดๆ ใช่ว่าจะมีของคุ้มค่าเสมอไป เพราะคุณมักจะเผลอจ่ายเงินไปกับของที่ไม่ต้องการแต่ราคาถูกยั่วใจมากมายหลาย ชิ้นโดยไม่รู้ตัว

6. ของที่ติดป้ายให้ซื้อหลายๆ ชิ้น อย่างเช่น ราคาปกติชิ้นละ 30 บาท ป้ายลดราคาเขียนว่า ซื้อ 2 ชิ้น 50 คุณไม่ได้ซื้อของถูกกลับบ้าน แต่กำลังจ่ายเงินเกินกว่าตั้งใจไป 20 บาทต่างหาก

7. ของที่มักจะถูกจริงๆ คือของที่จำกัดให้ซื้อ คนละไม่เกินที่ทางห้างร้านกำหนด

8. ของน่าซื้อคือพวกลดล้างสต็อก หรือเสื้อผ้าประเภทหมดฤดูกาล พวกนี้มักจะราคาถูกมากกว่าปกติ

9. ถึงของลดจะยั่วตายั่วใจขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช่ของใช้ประจำวันที่ซื้อมาแล้วใช้จริงๆ ก็ไม่คุ้ม ถ้าเผลอใจซื้อของลดกระหน่ำ ให้ซื้อพวกของกินของใช้ที่ต้องซื้ออยู่แล้วอย่างนี้ถึงคุ้มจริง

10. ดูที่จำนวนเงินที่คุณต้องจ่าย ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ที่ลดราคาลงมา ถึงแม้จะลด 50% แต่ถ้าราคายังแพงอยู่ ควรไปมองหาอย่างอื่นดีกว่า เพราะคุณต้องจ่ายเกินที่ตั้งใจไปมากแน่ๆ

11. อย่าลืมว่าป้ายลดราคาแต่ของไม่ลดจริงยังมีอยู่เสมอๆ

12. ทั้งของใช้ เสื้อผ้า อาหาร ลองมองยี่ห้อโนเนมราคาถูกกว่า แพ็กเกจไม่ค่อยอลังการดูบ้าง อาจจะได้ของคุณภาพดีกว่า เพราะไม่ได้มีค่าโฆษณาหรือค่าแพ็กเกจแพงๆ นำมาห่อเอง

13. เลิกติดอยู่กับยี่ห้อเดิมๆ ลองยี่ห้อใหม่ดู ช่วงปีใหม่จะมีสินค้าใหม่ๆ มาให้เลือกลอง และจะลดราคาถูกจริงเพื่อเรียกลูกค้า

14. เปลี่ยนรสนิยมการซื้อของฟุ่มเฟือย หรือพวกกระเช้าของขวัญแพงๆ มาเป็นของกินของใช้จำเป็นให้เป็นของขวัญบ้าง ราคาถูกกว่าได้ประโยชน์กว่าด้วย

15. อย่าซื้อตอนเหนื่อย เพราะจะซื้อแบบไม่มีจุดหมายแล้วยังลืมเรื่องงบประมาณ

ก่อนออกจากบ้านท่องไว้เลยว่าคุณจะเข้มแข็งเข้าไว้ ไม่ยอมเข่าอ่อนไปกับป้ายลดราคาเด็ดขาด
ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มารู้จักอิสตันบลูกัน




อิสตันบูล (Istanbul)


คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เป็นเมืองสำคัญของชนเผ่าจำนวนมากในบริเวณนั้ น จึงส่งผลให้อิสตันบลู มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเช่น ไปแซนเทียม
สุดและเป็นเมื่องที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี อิสตันบูล ตั้ง
• อิสตันบูล เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่อยู่ริมช่องแค
บบอสฟอรัส (Bosphorus) เดิมชื่อว่า
คอนสแตนติโนเปิล สแตมโบล เป็นต้น
• อาณาเขต : ทิศเหนือจรดทะเลดำ (Black Sea ) ทิศตะวันออกติดกับโคจาเอลลี (Kocaeli )และทะเลมาร์มารา (Marmara) ฝั่งตะวันตกติดกับ เทคีร์ดาค์ ( Tekirdag ) และคีร์คลาเรลี (Kirklareli ) มีพื่นที่รวมเกาะมาร์มารา (Marmara Island ซึ่งได้สมญานามว่าเป็นเกาะเจ้าชาย Princess’Island 5,712 ตารางกิโลเมตร
อทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลียน) และทวีปยุโรป (ฝั่ง Trace ของบอกฟอรัส) โดยทั้ง 2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลามาร์มารา และช่องแคบ ดาร์ดาแนลส์
• อิสตันบลูเป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีปคือ ส่วนในยุโรปแบ่งออกเป็นอิสตันบลูเก่า และอิสตันบลูใหม่ โดยมีโกลเดนฮอร์นคันอยู่ (Golden Hornเป็นทะเลชายฝั่งรูปร่างเว้าเหมือนเขาสัตว์ เมื่อยามอาทิตย์อุทัยและอัสดงแสงจะอาบลำน้ำเป็นประกายระยิบระยับราวทองคำ ) เมืองที่ถูกแบ่งแล้วคือสตัมบลู (Stambul )ทางด้านใต้ และทางกาลาตา (Galata )กับเบโยหลุ (Beyoglu) ทางด้านเหนือ
• ภูมิอากาศ ได้รับอิทธิพลมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฤดูหนาวจะไม่หนาวเย็นมาก แต่มีฝน ฤดูร้อน อากาศจะร้อนและแห้ง อุณหภูมิของกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันมากนักเฉลี่ยแล้วหิมะตกประมาณ 7 วันต่อปี
• อิสตันบลูมีแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดไหลผ่านอิสตันบลูคือ แม่น้ำริวา (Riva) มีปลายทางที่ทะเลดำ และบังมีแม่น้ำอิสทินเย ( Istinye Deresi ) และบูยุค (Buyuk Menderes หรือที่ร็จักในชื่อ Maeander)ไหลลงสู่ช่องแคบบอสฟอรัส
• อิสตันบลูเป็นเมืองท่าพาณิชย์ที่สำคัญ มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 8,803,468 ล้านคน

• ประวัติความเป็นมาเมืองอิสตันบลู :
• หากร้อยเรียงประวัติศาสตร์ของอีสตันบูล ต้องเริ่มตั้งแต่เมืองไบแซนเทียม (Byzantium) ที่สร้างโดย ชาวกรีกเมื่อ 667 ปีก่อนคริสตกาล โดยตั้งชื่อตามกษัตริย์ Byzas เมืองไบแซนเทียมถูกครอบครองและทำลายโดยจักรวรรดิโรมัน เมื่อปี พ.ศ. 739 (ค.ศ. 196) จากนั้นโรมันได้สร้าง ไบแซนเทียมขึ้นมาใหม่อีกครั้งในยุคของจักรพรรดิเซ็ปติมัส เซเวอรัส
• หลังจากนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช แห่งจักรวรรดิโรมันได้ย้ายมาสร้างกรุงโรมใหม่ (Nova Roma) ที่ไบแซนเทียม แต่คนส่วนมากมักนิยมเรียกว่าเมือง "คอนสแตนติโนเปิล" มากกว่า ในภายหลังจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่มีเมืองหลวงคือคอนสแตนติโนเปิล มักถูกเรียกว่า "จักรวรรดิไบแซนไทน์" คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยุคนั้น หลังสงครามครูเสดครั้งที่ 4 คอนสแตนติโนเปิลถูกยึดและเผาทำลาย ก่อนจะถูกยึดกลับคืนได้ในภายหลัง
• หลังจากล่มสลายของกรุงโรมและจักรวรรดิโรมันตะวันตก คอนสแตนติโนเปิลกลายเป็นเมืองหลวงเพียง
แห่งเดียวของจักรวรรดิไบแซนไทน์ และเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกาย กรีกออเธอร์ด็อกซ์ โดยมีสิ่ง
ก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างเช่น โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย เป็นต้น
• กระทั่งถึงจักรวรรดิออตโตมัน ในปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453) สุลต่านเมห์เม็ดที่ 2 ได้บุกยึดกรุง
คอนสแตนติโนเปิล ตัวเมืองได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมแบบมุสลิม ชื่อของเมืองเปลี่ยนเป็นอิสตันบูล ในสมัยของจักรวรรดิออตโตมัน เมืองอิสตันบูลได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก
• การก้าวสู่สาธารณรัฐตุรกี เมื่อสาธารณรัฐตุรกีถูกก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) เมืองหลวงของประเทศย้ายจากอิสตันบูลไปที่เมืองอังการา นับระยะเวลาที่อิสตันบูลเป็นเมืองหลวงทั้งสิ้น 1,610 ปี
•.ในสมัยกษัตริย์คอนสแตนติน มีการก่อกำแพงเมืองล้อมเขา 7 ลูก เพราะพระองค์มีพระประสงค์จะสร้างเมืองบนภูเขา 7 ลูกให้เหมือนกรุงโรม เขา 6 ใน 7 ลูก อยู่ริมฝั่งโกลเดนฮอร์น ได้แก่
• เขาลูกที่ 1 เป็นที่ตั้งของพระราชวังทอปกาปิ (Topkapi Sarayi) และวิหารเซนต์โซเฟีย (Hagia Sophia Church หรือ St.Sophia Mosque)
• เขาลูกที่ 2 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าเชมแบร์ลิทัส (Cemberlitas Camii) และนูรูโอส์มาเนีย (Nuruosmaniye Camii)
• เขาลูกที่ 3 เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอิสตันบูล (Istanbul Universitesi หรือ Istanbul University) และสุเหร่าสุไลมานิเย (Suleymaniye Camii)
• เขาลูกที่ 4 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าฟาทิห์ (Fatih Camii)
• เขาลูกที่ 5 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าเซลิม (Sultan Selim Camii)
• เขาลูกที่ 6 เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เซนต์โครา (Kariye Muzesi หรือ Chora Church Museum) และประตูเอดีร์เน (Edirnekapi)
• เขาลูกที่ 7 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าโคจามุสตาฟาพาซา (Koca Mustafa Pasa) และบริเวณโดยรอบ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมระวังปลิงกันด้วยน่ะจ้ะ



เรื่องหนึ่งที่ควรระวังในช่วงที่หลายพื้นที่เผชิญภาวะน้ำท่วม คือ 'ปลิง' สัตว์ที่อยู่ในน้ำ โดยเฉพาะน้ำนิ่งๆ ทั้งหนองน้ำ ลำธาร รวมถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ในประเทศไทยมักพบปลิง 2 ชนิด คือ ปลิงเข็ม ตัวยาวขนาดใกล้เคียงกับก้านไม้ขีดไฟ อีกชนิดเป็นปลิงควาย ตัวยาว 3 นิ้ว ลำตัวกว้าง 1 นิ้ว

กรณีมีความจำเป็นต้องลงไปในน้ำที่ท่วมขังและนิ่ง เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องสังเกตตามเนื้อตัวของตนเองอย่างละเอียด เพราะหากถูกปลิงเกาะ ตัวของปลิงนั้นเบาจึงไม่ทำให้รู้สึกว่า มีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่ เช่นเดียวกับการดูดเลือดของปลิงก็เป็นไปอย่างแผ่วเบา

ระหว่างที่ปลิงเริ่มกัดและดูดเลือด จะปล่อยสารที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาออกมา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งยังมีสารช่วยขยายหลอดเลือดและสารต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อให้ดูดเลือดได้ต่อเนื่อง หากปลิงยังดูดเลือดไม่อิ่มก็ยังจะเกาะอยู่อย่างนั้น โดยจะหลุดออกเมื่ออิ่ม ทว่าถูกรุมเกาะหลายตัวและถูกดูดเลือดมาก ก็จะเกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด

วิธีแกะปลิงให้หลุดออก ไม่ควรใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นดึงหรือกระชากตัวปลิงออกจากผิวหนังโดยตรง เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด เลือดหยุดยาก แต่วิธีที่ควรทำในเบื้องต้นมีทั้งใช้น้ำมะนาว น้ำมะกรูด น้ำเกลือเข้มข้น หรือน้ำแช่ยาฉุนหรือยาเส้นไส้บุหรี่ อย่างใดอย่างหนึ่งราดใส่ตรงที่ปลิงเกาะ นอกจากนี้ยังอาจเลือกใช้บุหรี่ที่ติดไฟหรือธูปติดไฟ จี้ลงไปที่ตัวปลิง ก็ทำให้ปลิงหลุดออกเอง

เมื่อปลิงหลุดออก ให้หยดยาฆ่าเชื้อที่คอตตอนบัดและเช็ดเป็นวงรูปก้นหอย เริ่มจากส่วนในของแผลวนออกรอบนอกแผล เช็ดวนรอบเดียวเพื่อไม่ให้แผลสกปรก แล้วเปลี่ยนอตตอนบัดอันใหม่ สัก 2-3 อัน

หากไม่สามารถเลี่ยงการลงไปในน้ำที่ท่วมขัง ควรป้องกันตนเองจากปลิงและสัตว์มีพิษอื่นๆ เช่น งู ตะขาบ ด้วยการสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดรัดกุมและมัดปลายขากางเกง โชลมเสื้อผ้าส่วนที่ต้องโดนน้ำด้วยน้ำมันก๊าดจะช่วยป้องกันสัตว์มีพิษได้.


credit:ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ / takecareDD@gmail.com


วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เครื่องดินเผานำโชค



ตุ๊กตาดินเผาไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความสวยงามน่ารักให้กับมุมสวนในบ้านแล้ว ตามศาสตร์แห่งการปรับสมดุลพลังงานเชื่อว่ายังช่วยเรียกพลังงานที่ดีๆ เกี่ยวกับฐานะการเงินที่มั่นคงมาสู่คนในครอบ ครัวได้ ทั้งยังเสริมพลังงานที่ดีๆ แก่ตัวบ้านด้วย


ตุ๊กตาดินเผาแต่ ละตัวมีความหมาย คอลัมน์ 'Feng Shui Clinic' โดย ธันยมัย ธำรงพุทธิกุล นิตยสาร "โฮม & เดคอร์" ฉบับ ก.ย.ถอดรหัสไว้ดังนี้


นก -เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข การนำโชคลาภ โอกาสดีๆ และความสมหวังเข้าสู่บ้าน

ไก่ - เป็นสัญลักษณ์ในทางการเรียกโชคลาภเงินทองและหยุดเล่ห์ร้ายเพทุบายที่เข้ามากล้ำกราย

ช้าง - สัญลักษณ์แทนสติปัญญาและโชค แต่ไม่ควรจัดวางไว้ในตำแหน่งที่ช้างหันงวงและงาออกสู่ประตูบ้าน เพราะเชื่อว่าจะนำเรื่องวุ่นวายและขัดแย้งมาสู่คนในครอบครัวได้

หมู - เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนโชคและความอุดมสมบูรณ์

กระต่าย - สัญลักษณ์แทนโชคเรื่องการเงินและความมีเสน่ห์

เต่า - สัญลักษณ์เรียกโชคด้านสุขภาพ ความมีอายุยืน

กวาง - สัญลักษณ์ของความมั่งมี ร่ำรวย นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ดีเรื่องสุขภาพอีกด้วย

สุนัข - สัญลักษณ์แทนความซื่อสัตย์

กระบือ - ช่วยกระตุ้นโชคด้านความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ของโชคในทุกๆ ด้าน

โค - สัญลักษณ์แทนความอดทน ช่วยส่งพลังงานด้านความจริงใจ และทำให้มีความบากบั่น ความมุ่งมั่นกับทุกเรื่องของชีวิตมากขึ้น

ปลา - สัญลักษณ์ของความเยือกเย็นและความสำเร็จ

กบ - ช่วยกระตุ้นโชคดีเกี่ยวกับการเงิน

นอกจากนี้ ตุ๊กตาดินเผาต่างๆ ยังถือเป็นตัวแทนของดาววัลคานุส (Valcanus) ซึ่งส่งพลังงานด้านความมั่นคง ความมีอำนาจ ความเป็นผู้นำ แต่ต้องเลือกสรรชิ้นที่มีขนาดพอเหมาะกับสวนของคุณด้วย ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นของที่ส่งพลังงานกดทับแทนได้

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องจริงที่คุณเข้าใจผิดกับโรคฮีสทีเรีย


ฮีสทีเรีย
‘มักมีผู้เข้าใจผิดว่า โรคฮีสทีเรียเป็นโรคขาดเพศตรงข้ามไม่ได้ ที่จริงเป็น “โรคหิวรัก” มากกว่า แต่มิใช่รักของเรื่องทางเพศหรอก เป็นรักแบบเด็กๆ เป็นส่วนมาก หรือไม่อีกที ก็เข้าใจว่าเกิดจากผีเข้า ปอบทำหรือถูกของ ไปต่างๆ นานา ..ที่แท้โรคนี้เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถป้องกันและรักษาได้’
เมื่อเอ่ยถึงโรคฮีสทีเรีย (Hysteria) หลายคนคงนึกถึงผู้หญิงสาวทั้งสวยและไม่สวยที่มีอาการเป็นลม หรืออาการชักเมื่อถูกขัดใจ บางคนก็เหมาว่า อาการเกิดเพราะมีความต้องการทางเพศมากกว่าปกติ และมิได้รับการตอบสนองที่พอเพียงผู้เป็นโรคนี้ส่วนมากจะถูกมองว่าแกล้งทำหรือแกล้งมีอาการ ที่จริงฮีสทีเรียเป็นชื่อโรคประสาทอย่างหนึ่ง
ที่จริงแล้วโรคนี้เป็นได้ทั้งหญิงและชาย และพบในผู้หญิงมากกว่าพบได้ทั้งในวัยเด็ก คนหนุ่มสาว และวัยกลางคน ฮีสทีเรียเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีความขัดแย้งในใจอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดความวิตกกังวลมาก ผู้นั้นพยายามที่จะหาทางลดความกังวลโดยใช้กลไกทางจิตใจไปเปลี่ยนความกังวลเป็นอาการทางร่างกายเสีย ซึ่งเขามิได้แกล้งทำ แต่เป็นการทำงานของจิตใต้สำนึกของเขา ตัวอย่างต่อไปนี้อาจทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
หญิงพนักงานพิมพ์ดีดผู้หนึ่งมีความมั่นใจในตนเองอยู่แล้ว ทำงานผิดพลาดบ่อย และถูกหัวหน้างานดุ เธอรู้สึกขายหน้าผู้ร่วมงาน คิดจะลาออกหลายครั้ง แต่ก็จำเป็นต้องทำงานเลี้ยงตนเองและมารดา ยิ่งถูกดุก็ยิ่งทำงานผิดพลาดมากขึ้น ความกังวลก็เพิ่มขึ้นเพราะเกรงจะถูกไล่ออกจากงาน โกรธทั้งตัวเองและหัวหน้างาน วันหนึ่งเมื่อมาทำงานตอนเช้ารู้สึกว่า มือทั้งสองข้างชาและไม่มีแรงไม่สามารถจะพิมพ์ดีดได้ ไปหาหมอตรวจพบอาการชาและไม่มีแรง ได้ลาพักงาน 3 วันอาการก็ดีขึ้นแต่พอกลับมาทำงานก็มีอาการอีก เมื่อหมอได้พูดคุยซักถามประวัติข้างต้นและประวัติชีวิตความเป็นมาในวัยเด็กที่แสดงถึงการขาดความอบอุ่น และชอบกดเก็บความรู้สึกที่รุนแรงไว้บ่อยและได้ช่วยให้ผู้มีอาการเข้าใจถึงลักษณะนิสัยของตนเอง และเริ่มปรับตัวโดยแก้ไขความบกพร่องของตน สร้างความเชื่อมั่นและหัดระบายความรู้สึกในทางที่เหมาะสม ความกังวลก็จะลดลง
ข้างบนนี้เป็นตัวอย่างอาการโรคฮีสทีเรียที่ออกทางกาย ที่พบบ่อยก็มีอาการชาตามแขนขาหรือตามตัวอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย กะพริบตาบ่อย หน้ากระตุก หรือคอเกร็ง หลังแอ่น ทั้งนี้ต้องตรวจแล้วไม่พบสาเหตุของโรคทางกายของอวัยวะนั้นๆ นอกจากนั้นยังมีอาการตามัว หรือตาบอด หูหนวก พูดไม่มีเสียงก็ได้
อีกพวกหนึ่งเป็นอาการทางด้านการเป็นลมหมดสติ อาจมีอาการชักและลืมตัวไป บางคนก็มีอาการเผลอสติไปชั่วครู่ นอนละเมอบ่อยๆ รู้สึกคล้ายๆ ลืมตัวไปชั่วครู่ แต่อาการไม่เหมือนพวกชักลมบ้าหมู ซึ่งหมดสติเป็นพักๆ เวลาเช้า โรคฮีสทีเรียหลายรายก็มีอาการแบบผีเข้า
อาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ถ้าถามถึงรายละเอียดและเวลาที่เกิด จะได้ประวัติของความขัดแย้งที่เกิดจากความต้องการของผู้นั้นที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ความต้องการมีหลายอย่าง เช่น ต้องการสิ่งของต้องการความพึงพอใจ เกียรติยศชื่อเสียง ต้องการให้คนรักเอาใจ
อาการ เกิดได้ 3 แบบ
1.มีความขัดแย้งทางจิตใจอย่างรุนแรงโดยไม่มีโรคทางร่างกาย
2. มีโรคทางกายมาก่อน แต่ได้รับการดูแลที่เป็นที่พอใจมาก โรคหายแล้ว แต่อาการทางกายยังมีอยู่ต่อไป
3. มีโรคทางกายแต่มีอาการรุนแรงกว่าที่ควร แต่มิได้หมายความว่าผู้ป่วย “แกล้งทำ” เขาเป็นจริงๆแต่เป็นปัญหาทางจิตใจ
สาเหตุ สาเหตุของปัญหาทางจิตใจมีได้ 3 ทาง
ทางกาย คือ มีโรคทางกายเป็นเหตุ ทำให้จิตใจอ่อนแอลงหรือเป็นเหตุให้ วิถีทางชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
ทางสิ่งแวดล้อม มีเหตุการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว การงาน หรือผู้ใกล้ชิด ที่เป็นสาเหตุของความกังวล
ทางใจ คือ จิตใจของผู้นั้นเอง
ในมากรายที่สาเหตุเกิดทางกายและทางสิ่งแวดล้อม จะทำให้เกิดปัญหาอยู่เพียงชั่วคราว ถ้าผู้นั้นหาทางแก้ไขได้เอง อาการก็หายไปได้
ส่วนในรายที่สาเหตุภายนอกน้อยหรือเป็นสาเหตุธรรมดาที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไป แต่ผู้นั้นทนไม่ได้ เพราะจิตใจอ่อนแอ เป็นสาเหตุทางจิตใจโดยตรง การแก้ปัญหาก็เป็นได้ยาก อาการคงอยู่นานกลายเป็นปัญหาเรื้อรังซึ่งทำความลำบากให้กับตนเองและผู้อื่นอยู่บ่อยๆ
จิตใจที่อ่อนแอ ส่วนมากมีสาเหตุจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่เหมาะสม เช่น
1. การถูกตามใจมากเกินไป ทำให้เป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับตน อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักการให้ เมื่อโตขึ้นก็มีนิสัยชอบพึ่งพาผู้อื่น อารมณ์หงุดหงิดถ้าไม่ได้สิ่งใดตามที่ต้องการ เจ้าอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เรียกร้องความสนใจอยู่เสมอ ถ้ามีอะไรเกิดบกพร่องก็จะโทษผู้อื่น ไม่สามารถพิจารณาแก้ไขตนเองได้
2. การอบรมเลี้ยงดูที่ไม่สม่ำเสมอ บิดามารดาหรือผู้ใหญ่ในบ้านเป็นคนเจ้าอารมณ์ แสดงอารมณ์รุนแรงเป็นแบบอย่างกับเด็ก ผู้ใหญ่อาจขัดแย้งกันเอง จนไม่ได้ให้ความสนใจแก่ลูกหลาน เด็กรู้สึกว้าเหว่ขาดที่พึ่ง เมื่อเติบโตขึ้นก็เป็นคนที่รู้สึกขาดความรัก ต้องการให้คนสนใจมากกว่าที่ควร เมื่อประสบปัญหาชีวิตก็ไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้โดยการใช้เหตุผล
3. บิดามารดาที่แยกกันอยู่หรืออยู่ด้วยกันแต่มีความเห็นไม่ตรงกัน มีการทะเลาะกันอย่างรุนแรงทำให้เด็กๆในบ้านวิตกกังวล รู้สึกขาดที่พึ่ง โตขึ้นก็อาจไม่สามารถช่วยตนเองได้ ต้องการพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป เมื่อมีความขัดแย้งในใจเพียงเล็กน้อยก็แก้ไขไม่ได้ เกิดความวิตกกังวลได้ง่าย
4. เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอบรมในบรรยากาศที่ไม่อำนวยให้เด็กแสดงความรู้สึกได้ เมื่อมีปัญหาคับแค้นใจก็เก็บกดไว้ หาทางระบายออกที่เหมาะสมไม่ได้ ถ้ามีมากก็จะเป็นคนวิตกกังวลมากเกินไป และเมื่อเมื่อพบกับสิ่งไม่พอใจในชีวิตก็จะยอมรับไม่ได้ สิ่งที่เก็บกดไว้ก็จะระเบิดออกมาเป็นอารมณ์วู่วามเกินกว่าเหตุ อารมณ์ที่เก็บกดไว้อาจเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์ว่าเหว่ อารมณ์โกรธ อารมณ์ว้าเหว่ อารมณ์ซึมเศร้าก็มีได้ มิได้เจาะจงว่ามีความต้องการทางเพศที่กดดันไว้เสมอไปดังที่เข้าใจกันผิดๆ
การป้องกันแก้ไข
1.โดยการที่ผู้เลี้ยงดูเด็กๆ ควรให้ความรักความสนใจในเด็กให้พอเพียงใช้หลักเดินสายกลาง ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่พอเหมาะพอควร ฝึกความอดทน มีเหตุผล และให้เด็กได้ช่วยตนเองเมื่อทำได้ หัดให้เด็กรู้มักสำรวจแก้ไขตนเอง
2. สำรวจดูบุคลิกภาพของตนเอง ว่ามีส่วนใดที่ยังบกพร่องหรือลักษณะที่ควรแก้ไข โดยรับฟังคำวิจารณ์ของผู้อื่น ยอมรับคำตำหนิหรือศึกษาผล จากการกระทำของตนเอง การยอมรับเป็นของสำคัญซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขทีละน้อย ในบางครั้งการไต่ถามผู้อื่นถึงความคิดเห็นของเขาต่อการกระทำของเราเองก็ช่วยได้มาก
3. เมื่อเกิดความวิตกกังวลอยู่นานๆ หรือกลุ้มอกกลุ้มใจมากๆ ก็ควรสำรวจสาเหตุว่ามีความขัดแย้งกันในเรื่องใดบ้าง แก้ไขในสิ่งที่ทำได้ง่ายก่อน ที่สำคัญคือไม่ควรโทษผู้อื่นเร็วนัก การมองตนเองนั้นทำได้ยาก แต่เป็นวิธีที่หัดได้และมีประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาทางจิตใจ
4.หาที่พึ่งทางใจ ที่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เช่น ปรึกษาเพื่อนสนิท หารือกับผู้ใหญ่ที่นับถือปฏิบัติตามหลักทางศาสนาต่างๆ ก็ช่วยให้ทุกข์ลดลงได้
5.ถ้ามีอาการทางกายมากดังกล่าว ก็ควรไปพบแพทย์ทั่วไปก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามิได้เป็นโรคทางกายแม้ว่าจะมีเหตุขัดข้องทางจิตใจเกี่ยวข้องด้วย ถ้าแพทย์ตรวจไม่พบโรคทางกาย ก็ควรพิจารณาเรื่องจิตใจ แพทย์อาจให้ยาระงับความกังวลมากิน (เช่น ยาเม็ดไดอาซีแพม ขนาด 2 มิลลิกรัมวันละ 2-4 ครั้งๆละ 1 เม็ด ราคาเม็ดละ 25 สตางค์)
6.การทำจิตบำบัดหรือการรักษาทางจิตใจกับจิตแพทย์ หรือผู้ที่ได้รับการอบรมทางด้านการแก้ไขปัญหาทางอารมณ์จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสาเหตุของปัญหา ลักษณะบุคลิกภาพของตน และวิธีแก้ไขปรับปรุงตนเอง
ที่จริงโรคนี้มิได้เป็นที่น่ารังเกียจเท่าใดนัก ข้อสำคัญก็คือ มีหนทางรักษาและป้องกันได้ มีผู้เข้าใจผิดว่าโรคนี้เป็นโรคขาดเพศตรงข้ามไม่ได้ที่จริงเป็น “โรคหิวรัก” มากกว่าแต่มิใช่รักของเรื่องทางเพศหรอกเป็นรักแบบเด็กๆ เป็นส่วนมาก เพราะฉะนั้นจึงมีลักษณะบุคลิกภาพอย่างหนึ่งที่เรียกว่าบุคลิกภาพแบบฮีสทีเรีย ซึ่งก็สมควรได้รับการแก้ไขจากเจ้าตัวเสีย จะได้ไม่ต้อง “ประสาท” ภายหลัง

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องจริง ชายผู้มี 24 บุคลิก

Billy Milligan (1955 ~ )
หรือ
William Stanley Milligan


คำว่า"คนหลายบุคลิก"คงจะเป็นที่คุ้นหูกันดีเพราะถือเป็นมุขหนึ่งที่ทั้งการ์ตูน นิยายและหนังชอบนำมาใช้เป็นมุขคลาสสิคแต่ในความจริงแล้ว ผู้ป่วยด้วยโรคMPD* ที่ว่านี้ยังไม่ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการโดยเฉพาะในแง่ศาลเท่าใดนัก เนื่องจากส่วนมากของผู้ป่วยมักจะมีสาเหตุจากการแสร้งทำเสียมากกว่า ในจำนวนนั้น บิลลี่ มิลลิแกนเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองว่าป่วยเป็นโรคนี้จริงและยังได้รับการละเว้นโทษเนื่องจากอาการป่วยนี้อีกด้วย

* Dissociative Identity Disorder หรือ DIDอาการป่วยทางจิตเนื่องจากการประสบกับการทารุณ(โดยมากเป็นการทารุณทางเพศ) และเพื่อต้องการหนีจากความเจ็บปวดที่เกิดกับจิตใจ ผู้ป่วยจึงเกิดการแบ่งแยกบุคลิกและสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวในแง่อุปนิสัย โรคหลายบุคลิกเป็นส่วนหนึ่งของโรคนี้ (ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนที่จะมีอาการนี้) โดยทั่วไปโรคนี้มักจะรู้จักกันในชื่อว่า Multiple Personality Disorder หรือMPD
Imaginary Freind มีลักษณะคล้ายอาการนี้ก็จริง แต่เนื่องจากเพื่อนในจินตนาการเหล่านั้นจะหายไปเมื่อเด็กโตขึ้น จึงไม่นับอยู่ในอาการป่วยนี้ด้วย
(ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ค่ะ หากมีตรงไหนผิดไปก็ต้องขออภัยด้วย และอยากรบกวนผู้มีความรู้ช่วยอธิบายไว้เพื่อประโยชน์ในอนาคต(?)ด้วยค่ะ)

ในช่วงปี 1970 รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา บิลลี่ มิลลิแกนถูกจับในข้อหาปล้นและข่มขืนผู้หญิง 3 คนในเขตแคมปัสของมหาวิทยาลัยประจำรัฐโอไฮโอ ระหว่างการเตรียมคดีก่อนเข้าสู่ชั้นศาลนั้นเอง บิลลี่ได้บอกกับจูดี้ สตีเวนสันซึ่งเป็นทนายของเขาว่า ตัวเขาไม่ใช่บิลลี่ และบิลลี่กำลังหลับอยู่ จูดี้ซึ่งข้องใจว่าเขาจะเป็นผู้มีอาการป่วยทางจิตจึงได้เรียกจิตแพทย์มาเพื่อทำการทดสอบสภาพทางจิตใจของบิลลี่ การตรวจพบว่าเขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิก และมีบุคลิกที่แตกต่างกันถึง 23 คนอยู่ในตัวเขา

- วิลเลี่ยม สแตนเลย์ มิลลิแกน (บิลลี่) 26 ปีบุคลิกหลักหรือบุคลิกเดิม
- อาเธอร์ 22 ปี คนอังกฤษ (พูดด้วยสำเนียงอังกฤษ) ใส่แว่นเจ้าเหตุผล ใจเย็น เวลาพูดจะประสานมือไว้ข้างหน้า พูดและเขียนภาษาอารเบียได้ เป็นผู้มีสิทธิ์ในการจัดการว่าใครจะเป็นคนออกมายัง"ข้างหน้า"ได้ เป็นคนมีอำนาจสูงสุดเหนือบุคลิกอื่นในยามปกติ
- เลย์เกน วาดาสโก้วินิจ 23 ปี คนยูโกสลาเวีย (พูดอังกฤษแปร่งแบบคนสลาฟว์) เก่งการใช้ปืนและคาราเต้ มีหน้าที่ปกป้องบุคลิกอื่นเช่นผู้หญิงและเด็กเป็นคนมีอำนาจเหนือบุคลิกอื่นในที่อันตราย
- อเลน 18 ปี พูดโน้มน้าวคนอื่นเก่ง มักเป็นคนเจรจากับคนภายนอก ชอบวาดรูปคนและเป็นคนเดียวใน 23 คนที่สูบบุหรี่
- ทอมมี่ 16 ปี เก่งเรื่องการถอดเชือก ชอบทะเลาะวิวาท มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเลย์เกน ชอบเครื่องไฟฟ้า วาดรูปวิว
- ดานี่ 14 ปี ขี้กลัว ชอบวาดรูปนิ่ง
- เดวิด 8 ปี เข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่น
- คริสตีน 3 ปี เด็กผู้หญิงชาวอังกฤษ วาดรูปผีเสื้อกับดอกไม้ ชอบระบายสี
- คริสโตเฟอร์13 ปี พี่ชายของคริสตีน พูดสำเนียงคอกนี่ นิสัยเชื่อฟังว่าง่าย เป่าฮาโมนิก้า
- อดาลาน่า19 ปี เลสเบี้ยน ขี้อาย ชอบอยู่คนเดียว เขียนกลอน ทำอาหารและงานบ้านแทนคนอื่น

13 คนนอกจากข้างต้นถูกตัดสินว่า"ไม่ดีนัก"และอาเธอร์เป็นผู้ดูแลอยู่

- ฟิลิบ 20 ปี พูดสำเนียงบลูคลิน ก้าวร้าว ก่อคดีโทษสถานเบา
- เควิน 20 ปี วางแผนจะปล้นร้านขายยา
- วอลเตอร์ 22 ปี คนออสเตรเลีย จำทางเก่ง
- เอพริล 19 ปี สาวใจแตก พูดสำเนียงบอสตัน วางแผนจะฆ่าพ่อเลี้ยงของบิลลี่ เย็บผ้าและช่วยงานบ้าน
- ซามิวเอล 18 ปี คนยิว ชอบแกะสลัก
- มาร์ค 16 ปี ตัดสินใจเองไม่เป็น ขยัน แต่ถ้าคนอื่นไม่สั่งก็ไม่ทำ
- สตีวฟ์ 21 ปี หาเรื่องคนอื่นตลอดเวลา ชอบพูดเลียนแบบคนอื่น
- ลี 20 ปี พูดตลก
- เจย์สัน 13 ปี ฮิสเทเรีย เป็นคนรับเอาความทรงจำที่ไม่ดีของทุกคนไว้
- โรเบิร์ต (บ๊อบบี้) 17 ปี ช่างฝัน
- ฌอน 4 ปี หูไม่ดี สมาธิสั้น
- มาร์ติน 19 ปี ขี้อวด
- ทิโมที (ทิมมี่) 15 ปี เคยทำงานที่ร้านดอกไม้แล้วโดนเกย์มาจีบ เจ้าตัวกลัวจนไม่ยอมออกมาอีก


บิลลี่ซึ่งเป็นบุคลิกเดิมนั้นเสียพ่อซึ่งฆ่าตัวตายไปตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากนั้นก็ถูกพ่อเลี้ยงทารุณด้วยการจับมัดแขวนบ่อยๆซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดบุคลิกต่างๆขึ้นมา บิลลี่ซึ่งไม่รู้ตัวเองว่ามีหลายบุคลิกสับสนกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่องด้วย เขาเคยตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่เลย์เกนก็ห้ามเอาไว้

เนื่องจากมีการเปลี่ยนบุลลิกบ่อยครั้ง บิลลี่จึงไม่มีงานทำพอที่จะมีรายได้แน่นอน วันหนึ่ง เลย์เกนออกมา"ข้างนอก"และพบกับใบแจ้งหนี้จำนวนมาก ขณะที่เขากำลังเดินกลุ้มใจอยู่ในแคมปัสก็พบกับนักเรียนหญิงคนอื่นจึงก่อคดีปล้นและถูกตำรวจจับในภายหลัง

แต่ละบุคลิกของบิลลี่ต่างก็พูดด้วยสำเนียงที่แตกต่างกัน และยังมีลักษณะท่าทีของแต่ละคนที่แพทย์ลงความเห็นว่าไม่ใช่การแสดงอีกด้วย บิลลี่ (อาเธอร์และเลย์เกน) เล่าว่า"ข้างใน"ของพวกเขาจะมีคนหลายคนยืนล้อมสปอตไลท์อยู่ อาเธอร์หรือเลย์เกนเป็นคนตัดสินว่าใครจะเข้าไปอยู่ในสปอตไลท์และออกมา"ข้างนอก" ส่วนบิลลี่ซึ่งเป็นบุคลิกหลักนั้น ทุกคนเกรงว่าเขาจะฆ่าตัวตายจึงถูกทำให้หลับอยู่

บิลลี่ได้รับการเยียวยาเป็นเวลาหลายปีจนหายในระดับหนึ่ง หากการหย่าร้างและการโจมตีจากสื่อ (เขาถูกตัดสินให้ไม่มีความผิดในคดีที่ถูกจับ) ทำให้โรคนี้อาการหนักขึ้นอีก หลังจากนั้นมีการแบ่งตัวและรวมตัวของบุคลิกต่างๆอีกหลายครั้ง จนในที่สุดก็กลายเป็นบุคลิกที่ 24 "ศาสตราจารย์" ซึ่งจิตแพทย์กล่าวว่าเป็นบุคลิกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ปัจจุบัน บิลลี่เปลี่ยนชื่อและทำงานเป็นผู้กำกับหนังที่แคลิฟอร์เนีย The Crowded Room ซึ่งเป็นประวัติชีวิตของเขาเองมีกำหนดจะออกฉายที่อเมริกาในปี 2008 และจนทุกวันนี้เขาก็ยังคงประกาศตัวว่าตนเป็นผู้มีหลายบุคลิก

ดานิเอล คียส์ ได้สัมภาษณ์และเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของบิลลี่ มิลลิแกนไว้ด้วยค่ะ คนที่สนใจ ลองหาอ่านดูได้ เล่มต่อออกวางขายในญี่ปุ่นแล้ว ส่วนในอเมริกามีกำหนดการจะวางขายพร้อมๆกับที่หนังเข้าโรง


วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาตรวจสุขภาพการนอนกันเถอะ



การนอนหลับสนิทและเต็มที่นั้น เป็นสิ่งที่วิเศษสุดอย่างหนึ่งในการฟื้นฟู และซ่อมแซมร่างกายของมนุษย์ แต่ถ้าคุณหรือคนรอบข้างไม่สามารถนอนหลับเช่นนั้นได้ เรามีเครื่องมือในการตรวจค้นหาสาเหตุและแก้ไขได้

การตรวจสุขภาพการนอนหลับ หรือที่เรียกว่า Sleep test เป็นการตรวจวิเคราะห์การทำงานระบบต่างๆ ของร่างกายขณะนอนหลับ เช่น ระบบการหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือด การทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และกล้ามเนื้อ รวมถึงศึกษาพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นขณะหลับ

ประโยชน์ของการตรวจนี้ เพื่อใช้วินิจฉัยและประเมินระดับความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น การกระตุกของกล้ามเนื้อต่างๆ และพฤติกรรมที่ผิดปกติขณะหลับ รวมถึงช่วยในการวินิจฉัยโรคความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการนอนหลับ ตลอดจนใช้พิจารณาเลือกวิธีการผ่าตัดทางเดินหายใจและติดตามผลการรักษา

สำหรับผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจ Sleep test ได้แก่ ผู้ที่ภาวะนอนกรนดังผิดปกติ หรือมีอาการง่วงนอนกลางวันมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่ได้นอนอย่างเพียงพอแล้ว ผู้ที่มีอาการหายใจลำบาก และสงสัยว่า จะมีการหยุดหายใจขณะหลับ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมการนอนผิดปกติอื่นๆ เช่น นอนแขนขากระตุก นอนกัดฟัน หรือนอนละเมอ ฝันร้าย สะดุ้งตื่นเป็นประจำ เป็นต้น โดยผู้รับการตรวจควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคการนอนหลับโดยตรง หรือแพทย์หู คอ จมูก อายุรแพทย์ หรือกุมารแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อสอบถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนและหลังการตรวจ ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนและการตัดสินใจเลือกในการรักษา

การตรวจ sleep test สำหรับภาวะนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งได้เป็น 4 ระดับดังนี้

ระดับที่ 1 การตรวจสุขภาพการนอนแบบสมบูรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดคืนเพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ลูกตา ใต้คาง และขา คลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด การตรวจวัดลมหายใจเป็นอย่างน้อย โดยอาจทำภายในห้องตรวจเฉพาะของสถานพยาบาลหรือนอกสถานที่

ระดับที่ 2 การตรวจสุขภาพการนอนแบบสมบูรณ์ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดทั้งคืน อาจตรวจในห้องนอนตามบ้าน ระดับนี้มีความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกับการตรวจระดับ 1 แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าจึงเหมาะสำหรับผู้ที่เคลื่อนไหวและเดินทางไม่สะดวก หรือผู้ที่มีอาการมาก ต้องการรักษาอย่างเร่งด่วน

ส่วนระดับที่ 3 และ 4 เป็นการตรวจสุขภาพเพียงบางรายการ ซึ่งอาจมีผลคลาดเคลื่อนในการวินิจฉัย จึงมักไม่ได้รับความนิยม

การตรวจจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.00-06.00 น.ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของผู้ตรวจแต่ละราย ก่อนเริ่มการตรวจ เจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการนอน รวมทั้งยารักษาโรคประจำตัว หรืออาจให้กรอกแบบสอบถาม และเอกสารการยินยอมของผู้รับการตรวจ หลังจากนั้นจะอธิบายลักษณะเกี่ยวกับอุปกรณ์ และการปฏิบัติตัวต่างๆ ระหว่างการตรวจ โดยผู้รับการตรวจควรสวมเสื้อผ้าชุดนอนหลวมๆ ทำจิตใจให้สบาย และควรหลีกเลี่ยงการดื่ม กาแฟ ชา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนผสม หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก

ขอบคุณบทความดีดีจาก สสส.

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เตือนเล่น"ไอแพด ไอโฟน แบล๊คเบอร์รี่"เพียงเครื่องเดียว สามารถทำให้เครื่องบินตกได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ว่า จากการศึกษาลับของสมาคมการขนส่งทางอากาศนานาชาติพบว่า การใช้อุปกรณ์มือถือเพียงเครื่องเดียวบนเครื่องบิน สามารถทำให้เครื่องบินประสบเหตุตกได้ เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวจะขัดขวางระบบสื่อสารและการควบคุมของเครื่องบิน

โดยการศึกษาของกลุ่มซึ่งเป็นตัวแทนของเครื่องบินโดยสารกว่า 230 ลำ และเครื่องบินบรรทุกสินค้า ทั่วโลก พบว่า ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ได้พบเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความวิตก 75 ครั้ง จำนวนนี้ 35 ครั้ง มาจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ โดยกลุ่มได้เรียกร้องให้ผู้โดยสารได้เลิกเมินคำเตือนเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์มือถือเพราะสามารถก่อให้เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตกได้ โดยการศึกษาพบว่า อุปกรณ์อันดับหนึ่งของคุกคามต่อระบบสื่อสารของเครื่องบิน ได้แก่ ไอแพด ตามด้วยไอโฟน และแบล๊คเบอร์รี่

รายงานระบุว่า คำเตือนดังกล่าวได้ออกมาเนื่องจากเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยเครื่องบินสงสัยว่า คลื่นวิทยุของโทรศัพท์มือถือสามารถขัดขวางระบบไฟฟ้าของเครื่องบินได้ ขณะที่สื่อบางแห่งระบุว่า ในจำนวนเหตุการณ์การสื่อสารขัดข้อง 75 ครั้ง จำนวนนี้ 26 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อศูนย์ควบคุมการบิน รวมทั้งนักบิน และระบบลงจอดเครื่อง ขณะที่ 7 เหตุการณ์กระทบต่อระบบนำวิถีเครื่องบิน อีก 15 เหตุการณ์ ก่อปัญหาต่อระบบการสื่อสาร และ 13 เหตุการณ์ ก่อปัญหาต่อระบบการเตือนทางอีเล็คทรอนิคส์ รวมทั้งคำเตือนต่อเครื่องยนต์ด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เเค่อ่านก็จะได้อะไรอีกเยอะ

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง

คน
เราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจ
ว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~

คนเรา
เมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด

เหตุผล
ของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลอง
ก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทาง
อันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหา
ทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่า
ของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตราย
ที่สุดคือ การคาดหวัง


เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่

จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ

ยินดี
กับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุ
ผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว

ไม่เป็น
ขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง

เมื่อวาน
ก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวัง
ว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน


เพื่อนทั่วไป
ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้
มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป
ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้
จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป
คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้
คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป

เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา


วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

เรามาคิดบวก กันเถอะ :)

~แบบว่าไปอ่านเจอมาเลยเอามาลง อ่านเเล้วมันดีเลยอยากเอามาเเชร์มาให้อ่าน~

เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ


เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ


เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต


เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)


เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ


เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย


เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่านี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต


เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี


เวลาเจอความพลัดพราก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง


เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง


วลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ


เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง


เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง


เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม


เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์


เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด


เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด


เวลาเจอวิกฤต ฃ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรมในวิกฤตย่อมมีโอกาส


เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต


เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์



From....Forward mail...

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

มารยาทบนโต๊ะิอาหารจากทั่วโลก

เด็กดีดอทคอม :: รู้ไว้ใช่ว่า ... มารยาทบนโต๊ะอาหารจากทั่วโลก


ญี่ปุ่น จีน เกาหลี การทานอาหารเสียงดังถือเป็นเรื่องปกติมาก เพราะแสดงถึงความเอร็ดอร่อยในการทานอาหารนั่นเอง รวมถึงมารยาทการดื่มของญี่ปุ่นนั้น ควรรินเครื่องดื่มให้แก่อีกฝ่ายและรอให้อีกฝ่ายรินเครื่องดื่มให้แก่เรา เพราะการรินเครื่องดื่มใส่แก้วตัวเองเหมือนเป็นการยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกขี้เมา

รัสเซีย เวลาทานข้าวบนโต๊ะอาหาร ให้วางข้อมือไว้บนโต๊ะตลอดเวลา มือซ้ายถือส้อม และมือขวาถือมีด

เนปาล เมื่อนั่งบนโต๊ะอาหารแล้ว ไม่ควรลุกไปไหนจนกว่าอาหารจะถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ และไม่ควรลุกจากโต๊ะก่อนที่ทุกๆ คนจะทานอาหารเสร็จ ไม่งั้นจะถือว่าเสียมารยาทเป็นอย่างมาก หากจำเป็นต้องลุกไป ควรพูดกับคนอื่นๆ บนโต๊ะอาหารว่า bistaii khaanus หรือ please eat slowly

เอธิโอเปีย การทานโดยใช้จานของตนเองถือเป็นเรื่องประหลาดและสิ้นเปลืองมาก ดังนั้นอาหารมักจะถูกใส่มาในจานเดียวกันและแบ่งกันทานเอาเอง (โดยที่ไม่มีอะไรตัดแบ่ง - -") รวมถึงถ้าในอาหารนั้นมีเนื้อสัตว์ ก็ควรทานเนื้อสัตว์เป็นอย่างสุดท้าย

เด็กดีดอทคอม :: รู้ไว้ใช่ว่า ... มารยาทบนโต๊ะอาหารจากทั่วโลก

ฝรั่งเศส ไม่ควรคุยเรื่องเงินบนโต๊ะอาหาร รวมถึงการขอแยกบิลจ่ายถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมซักเท่าไรนัก

เม็กซิโก ระหว่างที่ทานอาหารแล้วเกิดบังเอิญไปสบตาของคนที่กำลังทานอาหารเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักหรือไม่รู้จัก ควรเอ่ยปากกับคนๆ นั้นว่า provecho หรือ enjoy ถือเป็นมารยาทที่สำคัญมากเพราะจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีมากๆ เลยทีเดียว

เด็กดีดอทคอม :: รู้ไว้ใช่ว่า ... มารยาทบนโต๊ะอาหารจากทั่วโลก

อาร์เมเนีย ระหว่างที่กำลังดื่มกัน หากเรารินเครื่องดื่มใส่แก้วให้ใครซักคนจนหมดขวด นั่นเป็นการบอกคนๆ นั้นทางอ้อมว่า เค้าต้องเป็นคนซื้อเครื่องดื่มขวดใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการสุภาพหากรินเครื่องดื่มใส่แก้วตัวเองเป็นแก้วสุดท้าย (และไปซื้อใหม่เองด้วย เหอๆ)

โปรตุเกส บนโต๊ะอาหาร ไม่ควรขอเกลือและพริกไทยเพิ่มเด็ดขาด เพราะถือเป็นการดูถูกฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวหรือแม่ครัวอย่างมาก

เด็กดีดอทคอม :: รู้ไว้ใช่ว่า ... มารยาทบนโต๊ะอาหารจากทั่วโลก