วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

WOW ขนมหวานของฝรั่งเศส น่ากินมากๆ










WOw

ภาพสีน้ำมันสวยๆ






10 อันดับแฟชั่นสุดคลาสสิกของชาวตะวันตก


ไม่ว่าใครจะเป็นคนจัดไว้ เรา ๆ ท่าน ๆ คนฝั่งตะวันออกก็สามารถหยิบจับมาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน ทุกอันดับมีความน่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ บางอันดับเราอาจจะเคยมองว่าธรรมดาเหลือเกิน แต่ในความธรรมดานี้แหละที่ทำให้เราดูไม่ธรรมดามานักต่อนักแล้วลองดูค่ะว่า 10 อันดับแฟชั่นสุดคลาสสิกที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง

1. กางเกงสีกากี เขาบอกว่าดาราผู้หญิงคนดังของฮอลลีวูดต้องมีกางเกงสีกากีอย่างน้อย ๆ ก็คนละ 2 - 3 ตัว เพราะอะไรถึงต้องมี ก็มันสวยและคลาสสิกนี่คะ

2. รองเท้าผ้าใบ ดูธรรมดา ๆ ใช่ไหมคะ แต่เชื่อหรือไม่ว่ารองเท้าผ้าใบในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง คุณสามารถสวมใส่มันไปที่ไหนก็ได้แม้แต่โรงแรมระดับ 5 ดาว แฟชั่นรองเท้าผ้าใบมีอะไรใหม่ ๆ ให้เราเลือกดูอยู่ตลอดเวลา และรองเท้าผ้าใบยังอยู่ในเทรนด์ โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบสีขาว

3. ลิปสติกสีแดง เขาลือว่าลิปสติกสีแดงมีความหมายกับผู้หญิงอย่างมาก และมันมีค่าเทียมเท่าทองคำเลยทีเดียว ลิปสติกสีแดงสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้หญิงจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตา เขาว่าอย่างนั้นนะ

4. ชุดสูท ผู้หญิงทุกคนจะรู้สึกมีอำนาจเมื่ออยู่ในชุดสูทพวกเธอมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกมากขึ้น

5. ไข่มุก ผู้หญิงโปรดปรานไข่มุก ไข่มุกเป็นเครื่องประดับที่ผู้หญิงชื่นชอบ และกำลังได้รับความนิยมมากในขณะนี้ เขาบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สวมไข่มุกแล้วไม่สวย ไม่ว่ามันจะเป็นไข่มุกแท้หรือเทียม

6. เ
สื้อโคตกันฝน ที่มีเข็มขัดติดอันดับแฟชั่นคลาสสิกกับเขาด้วย เขาบอกว่าการสวมเสื้อโค้ตกันฝนขณะที่เท้าของคุณสวมรองเท้าส้นสูง คุณจะดูเท่และคลาสสิกมาก

7. เสื้อเชิ้ตขาว ดีไซเนอร์บางคนตั้งคำถามว่า เราจะอยู่โดยไม่มีเสือเชิ้ตขาวได้อย่างไร นั่นน่ะสิ เพราะอะไรและทำไมคำตอบก็คือ เสื้อเชิ้ตขาว แม้จะดูธรรมดาทว่าในความเรียบง่ายสะอาดตานั้น เต็มไปด้วยความสง่า น่ามองและดูคลาสสิกเป็นที่สุด

8. รองเท้าส้นสูง ผู้หญิงทุกคนควรจะมีรองเท้าส้นสูงอยู่ในตู้รองเท้าอย่างน้อยที่สุด
2 - 4 คู่ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ควรจะมี เพราะรองเท้าส้นสูงจะช่วยเสริมเสน่ห์และทำให้การแต่งกายของคุณดูดีและมีสง่ายิ่งขึ้น

9. กางเกงบลูยีนส์ เช่นเดียวกับรองเท้า ไม่ว่าจะเป็นยีนส์ทรงไหนคุณผู้หญิงก็ควรจะมีติดไว้ในตู้เสือผ้า แน่นอนว่ายีนส์ติดอันดับความคลาสลิกอย่างไม่ต้องสงสัย

10. กระโปรงชุดดำ สีดำติดอันดับคลาสสิกมาแต่ไหนแต่ไร และจะยังคงครองความคลาสสิกไปอีกนานแสนนาน ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีดำจะดูมีเสน่ห์และมีมนตร์ขลังมากกว่าชุดสีอื่น ๆ สีดำไม่ใช่สีเศร้าอย่างที่หลายคนคิด แต่มันเป็นสีที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความลึกลับที่น่าค้นหา


ดื่มน้ำมะตูม เพื่อสุขภาพกันเถอะ


สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย-ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย


มะตูมเป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างและใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม ตุ่มตัง กะทันตาเถร (ปัตตานี) มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน)


ลักษณะของมะตูม ผล มีผิวเกลี้ยง เปลือก หนาและแข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ในผลมะตูมมีเมล็ดตรงกลางเป็นพู มียางเหนียวใส นำมาใช้เป็นกาวจากธรรมชาติได้ เนื้อมะตูมมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เวลานำมาต้มเป็นชาจะมีกลิ่นหอมมาก เวลาสุกเนื้อจะนิ่มเป็นสีเหลืองหอมและมีรสหวานด้วย


มะตูมที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนมากจะอยู่ในรูปของมะตูมแห้งเป็นแว่นที่มีขายตามร้านยาแผนโบราณ, ร้านขายสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็นน้ำมะตูมที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น


•เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้


•ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี

•ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี


•ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติการเต้นวอลซ์



วอลซ์ (เยอรมัน: Waltz) เป็นการเต้น

รำแบบพื้นเมืองในจังหวะ 3/4 กำเนิดขึ้นในออสเตรียและเยอรมนี โดยพัฒนามาจากการเต้นลีลาศหมุนตัว เป็นการเต้นรำแบบคู่ชายหญิง คู่เต้นจะต้องเกาะแขนกันและสืบเท้าไปด้านข้างพร้อมกับหมุนตัวอย่างรวดเร็ว การที่คู่เต้นเกาะแขนกันนี้ก็เพื่อช่วยในการทรงตัว ทำให้นักเต้นไม่จำเป็นต้องกระโดดสูงเพื่อหมุนตัว เหมือนการเต้นหมุนตัวในสมัยก่อนหน้านั้น ถือกำเนิดขึ้นแถบแคว้นบาวาเรีย ราวทศ

วรรษ 1750 เรียกว่าการเต้น วอลต์เซอร์ (Waltzer)

การเต้นรำแบบวอลซ์นี้แตกต่างการเ

ต้นแบบมินูเอตที่นิยมอยู่ก่อน ซึ่งคู่เต้นรำเพียงแค่แตะปลายนิ้วกันเท่านั้น การที่ชายหญิงต้องสัมผัสร่างกายอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายช

ายต้องโอบแขนไปรอบเอวของฝ่ายหญิง ทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงแรก แต่ต่อมาการเต้นแบบนี้ก็ได้รับความนิยมไปทั่วทั้งกรุงเวียนนา เมื่อราวทศวรรษ 1770

ในศตวรรษที่ 19 ได้มีผู้เรียกจังหวะดนตรีที่ใช้ในการเต้นวอลซ์ ว่า ดนตรีวอลซ์

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จินตนาการบำบัด ลดความเครียด


เคย คิดเล่นๆ ดูไหม ว่าทำไมเราถึงฝัน ทำไมเราถึงจินตนาการ และสิ่งที่ดูไม่มีวันเป็นจริงเหล่านี้ เป็นเรื่องไร้สาระชวนเสียเวลา หรือช่วยให้เราสบายใจขึ้นกันแน่

ในมุมมองของการบำบัดทางอารมณ์แล้ว การได้ใช้พลังการสร้างสรรค์ทางความคิด ไม่นับเป็นเรื่องเสียเวลาหรือไร้สาระแต่อย่างใด เพราะ จินตนาการสุดลึกล้ำของคนเรา ถูกสร้างมาอย่างมีเหตุผล หนึ่งในนั้นคือการดูแลและรักษาสมดุลตัวเราเอง และยังนำมาบำบัดอารมณ์เราได้ด้วย

หากความฝันของเราถูกสร้างขึ้นเพื่อระบายความเครียด การจินตนาการก็ด้วยเหมือนกัน ที่สามารถช่วยดูแลใจไปจนถึงบำบัดอาการทางกายได้ด้วย กอง การแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขของบ้านเรา ยังมีข้อมูลออกมาเผยแพร่ด้วยว่า ความคิดจินตนาการของเรานี่ล่ะ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในตัวเรา อย่างเช่นถ้าเรานึกถึงมะม่วงเปรี้ยวๆ เราก็สามารถน้ำลายสอได้เลย

งาน วิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า ความคิด จินตนาการ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ไม่ว่าอุณหภูมิร่างกาย การใช้ออกซิเจน ความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ ขนาดม่านตา การหลั่งน้ำลาย การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือด หรือแม้แต่คลื่นสมอง และฮอร์โมนต่างๆ ดังนั้นแล้วหากเราต้องการร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ก็สามารถฝึกคิดบวก และจินตนาการเชิงสร้างสรรค์เพื่อดูแลตัวเองได้ เพราะมีการนำจินตนาการบำบัด ไปใช้กับคนไข้โรคทั่วๆ ไป อย่างปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้ นอนไม่หลับ ฯลฯ ได้อย่างได้ผลดีมาแล้ว

วิธีการฝึกก็คือ นั่งหรือนอนเงียบๆ สงบๆ ในที่อากาศเย็นสบาย รู้สึกผ่อนคลาย เราอาจฝึกจินตนาการผ่านเทปเสียงที่ไกด์ให้เราคิดตาม หรือฝึกเอง ด้วยความนึกคิดเชิงบวก อาทิ หากปวดหัวบ่อย เครียดบ่อย อาจจินตนาการได้ว่า ความเครียดเหล่านี้คือหมอกควันดำหนาทึบที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แต่ก็ค่อยๆ สลายตัว หายไปจนหมดในที่สุด หรือหากต้องการผ่อนคลายง่ายๆ ก็อาจนึกถึงสถานที่ที่เรารู้สึกสบายใจ เช่น ทะเลยามเช้า ยอดเขาอากาศเย็นๆ หรือพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เหล่านี้ ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เพราะ จะว่าไปแล้ว เราสามารถบำบัดตัวเองได้หากอาการนั้นๆ เป็นอาการชั่วคราวที่เรารู้ที่มาและสังเกตปัญหาได้ด้วยตัวเอง จินตนาการบำบัดสักวันละ 15 - 30 นาที ก็ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุขแบบเรียบง่ายกันได้ไม่ยาก




ที่มา FW Mail