วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันสตรีสากล

ประวัติความเป็นมา ของ วันสตรีสากล เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยการที่มีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่พวกเธอนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1857 (พ.ศ.2400)

women.jpg
Doogle วันนี้ คือ สัญลักษณ์บ่งบอก ให้ระลึกถึง วันสตรีสากล

จากนั้นในปี ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาทนไม่ไหวต่อการเอารัด เอาเปรียบ กดขี่ ทารุณ ของนายจ้างที่ใช้งานพวกเธอเยี่ยงทาส เนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใดๆ เป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วยล้มตายตามมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก

ความอัดอั้นตันใจจึงทำให้ "คลาร่า เซทคิน"นักการเมืองสตรีสายแนวคิดสังคมนิยม ชาวเยอรมันตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการทุกอย่าง และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย

อย่างไรก็ตามแม้การเรียกร้องครั้งนี้ จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีแรงงานหญิงหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" และเป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น

ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ค เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก โดยมีคำขวัญการรณรงค์ว่า "ขนมปังกับดอกกุหลาบ" ซึ่งหมายถึงการได้รับอาหารที่พอเพียงพร้อมๆ กับคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง

จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย

ทั้งนี้ยังได้รับรองข้อเสนอของ "คลาร่า เซทคิน" ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันสตรีสากล

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Millin แบรนด์แฟชั่นน้องใหม่






นิตยสาร แฟชั่นโชว์ระดับประเทศ และเสื้อผ้าของเหล่าเซเลบต่างเรียกหาแบรนด์แฟชั่นน้องใหม่ Milin จนทำให้ปีนี้แบรนด์นี้กลายเป็นสมาชิกน้องใหม่ของกลุ่ม Bangkok Fashion Society สำหรับคอลเลคชั่น Spring/Summer 2012มีชื่อว่า Round About นำลีลา รูปทรง และองค์ประกอบของยิมนาสติกมาวาดลวดลายใหม่ โดยไม่ลืมใส่คาแรกเตอร์ Elegant, Sensual และ Rebellious ลงไปในแต่เสื้อผ้าแต่ละชิ้น


คุณมิลิน ยุวจรัส Creative Director สาวดีกรีแฟชั่นจาก Central Saint Martin กรุงลอนดอน ดีไซน์เสื้อผ้าในแบรนด์ชื่อเดียวกันเธอ เล่าถึงคอลเลคชั่นใหม่ว่า "คอลเลคชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากยิมนาสติก ปีนี้เป็นปีที่จะจัดโอลิมปิกพอดี ยิมนาสติกเป็นกีฬาที่เหมาะกับสาว Milin เพราะคล่องแคล่ว ปราดเปรียว เสื้อผ้าจะเน้นรูปร่องมากขึ้นเหมือนกับชุดกีฬา ส่วนประกอบอื่นๆ จะเป็นแนว sport glam ลายผ้าใช้สัญลักษณ์ของยิมนาสติกลีลาใหม่ เช่น ลายคทา ลายวงกลม ลายลูกบอลเป็นการใช้ผ้าทอและใช้เทคนิค เลเซอร์คัต"

คีย์ลุคเด่น เช่น การจับคู่เสื้อเข้ารูปกับกระโปรงบานทรงวงกลมที่ถูกนำมาซ้อนทับและขยายให้มีความพริ้วยามเคลื่อนไหวมากขึ้น ดีเทลประดับแบบเสื้อผ้าสปอร์ตแวร์ยังถูกนำมาใช้ในคอลเล็กชั่นนี้ทั้งการซ่อนซิปบนตัวชุด หรือการทริม ขอบชายเสื้อและตกแต่งตัวชุดด้วยผ้ายืดอีราสติกสีสด ในขณะที่ชิ้นเด็ดอย่างกางเกงขาสั้นก็มีการปรับให้กระชับกับสัดส่วนของผู้สวมใส่มากขึ้นกว่าเดิม ชุดกระโปรงแบบต่อชายผ้าหน้าสั้นหลังยาว มีการเล่นกับสัดส่วนและเนื้อผ้าที่หลากหลายขึ้น และมีความเป็นเรขาคณิตด้วยการซ้อนทับเนื้อผ้าสร้างมิติใหม่ๆให้กับชุดกระโปรงสั้น เช่นตัวกับเสื้อสูท และเสื้อแจ็กเก็ตที่ให้กลิ่นอายแบบเสื้อแจ็กเก็ตกีฬาตัวสั้น ในขณะที่ชุดราตรียาวก็เล่นกับการตกแต่งดีเทลเพิ่มความหรูหราและสะดุดตา

"เมื่อมีโอกาสได้ทำเสื้อผ้าทำให้ได้รู้จักกับลูกค้ามากขึ้น เราจะปรับเปลี่ยนทำอะไรใหม่ๆ ให้ลูกค้าเสมอ บางทีลูกค้าเป็นแรงบันดาลใจให้เรา เสื้อผ้าที่เน้นเซ็กซี่ยังไม่ค่อยมีอยู่ในตลาด เลยถูกใจสาวเปรี้ยวๆ หลายคน" คุณมิลิน กล่าวปิดท้าย คอลเลคชั่นใหม่จาก Milin จะเปรี้ยวแค่ไหน สาวๆ อดใจไม่นานเพราะคอลเลคชั่นใหม่จะเข้าร้านกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้


Milin มีจำหน่ายที่ สยามเซนเตอร์ชั้น 3, สยามพาราอนชั้น 1, ดิ เอ็มโพเรียม ชั้น 1, เซ็นทรัล ชิดลม ชั้น 2, เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 2


อัพเดตเทรนด์แฟชั่นในปี 2012 ได้กับบทสัมภาษณ์ของ คุณพลพัฒน์ อัศวประภา จากแบรนด์ Asava หนึ่งในสมาชิก Bangkok Fashion Society


มาฟังเพลงที่ช่วยเราผ่อนคลายก่อนนอนกันเถอะ

แบ่งตามขั้นตอนความต้องการที่จะตอบสนองภายนอก(ร่างกาย) สู่ภายใน(จิตวิญญาณ)

Step 1 : เพลงร้องที่เราชอบ เราอยากได้ยิน
ไม่ต้องไปฝืนฟังเพลงที่ไม่คุ้นหู หรือไม่คุ้นเคย ชอบแบบไหน ฟังแบบนั้นไปก่อน เก่าใหม่ได้หมด เพียงแต่มีแนวทางว่าเป็นเพลงที่จังหวะประมาณ 70 ครั้งต่อนาที(Beats per minute หรือ bpm) เป็นจังหวะที่ทำให้ร่างกายบรรเทาความทุกข์กังวลใจได้ดีที่สุด เลือกเพลงให้เหมาะกับอายุของเรา มีทำนองเพลงไพเราะ สนุก มีชีวิตชีวา สดชื่น ร่าเริง แจ่มใสเสียงนักร้องระดับปานกลางชวนฟัง ทุ้ม นุ่ม ใส กังวาน ชัดเจนเนื้อหาเพลงไม่หนักเกินไป ฟังสบาย ๆ ถ้าเป็นเรื่องบอกเล่าถึงธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ใบหญ้า ป่าเขา ทะเล ฯ จะช่วยให้เกิด ความผ่อนคลายขึ้น เลือกเพลงที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีจริง ๆ เช่น ไวโอลิน กีตาร์ เปียโน ไม่ใช่เสียงสังเคราะห์ เสียงจะแน่นมีความเป็นธรรมชาติ สร้างสมดุลให้ร่างกายได้ดี และสัมผัสถึงจิตวิญญาณมากกว่า

Step 2 : เพลงบรรเลง ได้ทั้งไทย สากล จะเป็น POP /JAZZ/ CLASSIC/ เพลงเดี่ยวเครื่องดนตรี [SOLO] (กีตาร์,เปียโน ฯ) มีข้อมูล อ้างอิงที่น่าสนใจดังนี้ เพลง JAZZ ช่วยให้นอนหลับอย่างเป็นสุข

“นักวิจัยชาวไต้หวันได้แนะนำให้ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ แม้ว่าจะนับแกะไปหลายร้อยตัวแล้วก็ตาม ให้ลองหันมาฟังเพลงแจ๊ซเพื่อแก้ปัญหาแทน เหล่านักวิจัยได้ค้นพบว่า การฟังเพลงที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เพียงแค่ 45 นาที ก่อนเข้านอนนั้น จะช่วยให้สามารถนอนหลับได้อย่างสงบสุข

กลุ่มนักวิจัยชาวไต้หวันได้เปิดเผยในวารสารเจอร์นัลออฟแอดวานซ์เนิร์ซซิงว่า พวกเขาได้ศึกษาถึงรูปแบบของการนอนในผู้สูงอายุจำนวน 60 คน ที่มีปัญหากับการนอน โดยผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยนั้น สามารถเลือกฟังเพลงก่อนที่จะเข้านอน ในขณะที่บางคนเลือกที่จะเข้านอนโดยไม่ฟังเพลงก็ได้ ซึ่งในกลุ่มของผู้ที่เลือกฟังเพลงก่อนนอนนั้น ก็จะต้องเลือกเทปเพลงจังหวะช้า ๆ อย่างแจ๊ซ โฟล์ก หรือออเครสตรา ซึ่งมีอัตราจังหวะอยู่ที่ 60-80 จังหวะต่อนาที ขึ้นมา 1 ม้วนจากทั้งหมด 6 ม้วนหลังจากนั้น ทางกลุ่มนักวิจัยก็พบว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่เลือกฟังเพลงก่อนเข้านอนนั้น ได้มีพัฒนาการทางการนอนเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพัฒนาการนั้นก็รวมไปถึงการนอนที่ดีและนานขึ้นในตอนกลางคืน และการลดอาการผิดปกติทางร่างกายต่าง ๆ ในตอนกลางวันอนึ่ง นักวิจัยพบว่าการฟังเพลงช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสงบ รวมไปถึงการช่วยให้หัวใจเต้นช้าลง และยังหายใจช้าลงอีกด้วย ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ฮุ่ยหลิงไหล แห่งมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลฉือฉี กล่าวว่า

"กลุ่มผู้ที่ฟังเพลง มีพัฒนาการโดยรวม ดีขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์แรก และระดับการพัฒนาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเขาเชี่ยวชาญในกลวิธี การผ่อนคลายด้วยดนตรี ที่ช่วยให้นอนหลับ" (จากวารสาร For Quality)เพลง CLASSIC แบบไหน ที่นำมาใช้เป็นดนตรีเพื่อความผ่อนคลายบำบัดซึ่งเพลงคลาสสิคที่นิยมใช้ในการทำดนตรีบำบัดจะอยู่ในระหว่างยุค พ.ศ. 2313-2373 เกิดขึ้นในโรงเรียนดนตรีเวียนนา มีนักประพันธ์เพลง เช่น
ไฮเดิล โมซาร์ท และเบโธเฟน ในยุคแรกลักษณะดนตรีมีรูปแบบชัดเจน สมดุล มีเสียงดนตรีตลอดไม่มีการหยุด เป็นดนตรีที่นิยมนำเพลงมาใช้ทำดนตรีบำบัด

“โมสาร์ท เอฟเฟกต์” (Mozart Effect)เสียงที่มีความถี่สูงๆ กระตุ้นให้การทำงานของสมองดีขึ้น
อัลเฟรด เอโทมาติส (AlfredATomatis)แพทย์ชาวฝรั่งเศสศึกษาพบว่าดนตรีสามารถใช้พัฒนา
การสื่อสารของมนุษย์ได้โดยเขาศึกษาบทเพลงของโวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท เป็นที่มาของคำว่าโมสาร์ท เอฟเฟกต์

Step 3 : เพลงบรรเลงที่ผสมเสียงธรรมชาติ พวกดนตรีแนว New Age
ซึ่งช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย แรงบันดาลใจ และมักใช้กับกิจกรรมต่างๆ เช่น โยคะ การนวด การทำสมาธิ การอ่านหนังสือ และการบริหารความเครียด
ลักษณะของดนตรีนิวเอจมักผสมระหว่างเสียงเอฟเฟกหรือเสียงจากธรรมชาติด้วย


Step 4 : เพลง/ดนตรีธรรมชาติ เลือกฟังเสียงดนตรีธรรมชาติ เช่น เสียงคลื่นทะเล เสียงน้ำตก เสียงป่า เสียงฝนตก ฯลฯซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ดนตรีในจักวาล [Musica Mundana] ของบีโอเทียส หากเป็นไปได้ ในช่วงวันหยุดควรได้ไปพักผ่อนสูดอากาศ สัมผัสเสียงธรรมชาติจริงๆ อย่างสม่ำเสมอจะดีมากกว่าการฟังซีดี

Step 5 : เพลง/ดนตรีจากภายในตัวเรา เข้าหลักการ ดนตรีที่อยู่ในร่างกายมุษย์ [Musica Humana] ของบีโอเทียส และ“ดนตรีและศิลปะบริสุทธิ์นั้นมีคุณสนับสนุนความมีจิตว่าง”ของท่านพระพุทธทาส คนทั่วไปที่จะเข้าถึงดนตรีภายในได้นั้นต้องฝึกสมาธิ และสามารถช่วยผ่อนคลายและบำบัดให้หลับได้เต็ม อิ่มหลับลึก และสามารถกำหนดเวลาตื่นได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แนวทาง “ดนตรีหรือเพลงแบบไหนที่ช่วยให้เราผ่อนคลายนอนหลับ” ที่นำเสนอนี้ เป็นแนวทางที่ผู้สนใจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมด้วยตนเองตามความเหมาะสม หลังจากได้ปฏิบัติตามแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับอีก ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อทำการบำบัดรักษา ด้วยวิธีการที่เหมาะสมต่อไป

สิบชื่อเล่นที่บอกชาติต่างชาติเเล้ว เขาก็ยังไม่เข้าใจ

10ชื่อเล่นของผู้หญิงไทยที่บอกออกไปฝรั่งอาจจะมึน งง อึ้ง ตะลึงงัน เพราะความผกผันทางภาษา ส่วนจะมีอะไรบ้างตัวอย่างฮาฮามีให้ดูแล้วจ้า!!!

พร (P๐rn)

เป็น ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงของผู้หญิง ซึ่งมีความหมายที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้ชายคือ "หนังโป๊" ว่า ไปแล้วผมเคยมีอาจารย์สมัยมัธยมท่านหนึ่งชื่อ "อัมพร" (I'm P๐rn) มีสามีเป็นฝรั่ง ปัจจุบันได้ลาออกและย้ายไปอยู่ที่แคนาดาแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังรออยู่ว่าเมื่อไหร่ท่านจะออกผลงานให้ชมกันสักที

น้อย (Noise)

เรียก แค่น้อยเฉยๆ ยังพอเข้าใจ แต่มีผู้หญิงหลายคนชอบออกเสียงกระแดะให้มันอ่านว่า น้อยส์ พวกเธอจะรู้มั้ยนะว่ามันมีความหมายว่า "หนวกหู รบกวน น่ารำคาญ"

ฝรั่งที่จะเอาคุณเธอมาเป็นเมียคงต้องทำใจหน่อยนะ เพราะระยะยาวคุณอาจจะเสียสุขภาพจิตได้

พี (Pee)

ความหมายคือ "ฉี่" ถ้าฝรั่งถามชื่อแล้วเจ้าตัวตอบเป็นชื่อนี้ ฝรั่งอาจจะคิดว่าเธอปวดฉี่ก็ได้

ปู (Poo)

ชื่อนี้มีความหมายว่า "ขี้"

ผม มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ ปู พอขึ้นมหา'ลัย เธอเพิ่มคำต่อท้ายเป็น "ปู๋ปู้" มีแฟนเป็นนักศึกษาชาวกรีก ทุกวันนี้ก็ยังคบกันอยู่ คาดว่าหมอนั่นคงจะติดใจรสชาติที่เธอป้อนให้ละมั้ง

ฟัก (F**k)

เอิ่ม...ไม่ต้องบอกความหมายทุกคนก็คงรู้จักกันดี

อย่า หาว่าผมเมคเรื่องขึ้นมาเลยนะ แต่ผมเคยเจอผู้หญิงที่ใช้ชื่อเล่นว่า ฟัก เดินอยู่ในกรุงเทพจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนใช้นามสกุลต่อหน้าหรือไม่ต้องต่อท้ายว่า ฟัก อีกด้วย

ชื่อนี้ฝรั่งคงจะปวดไมเกรนทุกครั้งที่จำเป็นต้องเรียกขานแน่ๆ

ยู (You) แปลว่า = คุณ

"Hello. What's your name?" = สวัดดี คณุชื่ออะไร

"ยู"

"Dante. and your name?" = ดานเต้ แล้ว ชื่อคุณล่ะ

"ยู"

"Dante." = ดานเต้

"ยู"

"I said Dante." = ฉันพูดว่า ดานเต้

"Hey, I had answer, my name's Dante. And what is your name?" = เฮ้, ฉันมีคำตอบ, ดานเต้เป็นชื่อของฉัน และคุณชื่ออะไรล่ะ

"ยู"

"...Forget it." = ลืมมันไปเถอะ

น่าสงสารนายดันเต้ ชาตินี้มันคงไม่รู้หรอกว่าสาวไทยคนนั้นชื่อ ยู

หมี (Me) = ฉัน

"Hello. What's your name" = คุณชื่ออะไร

"หมี"

"Yes." = ใช่

"หมี"

"Yes, I mean you." ใช่ ฉันถามคุณ

"หมี"

"Yeah, can you tell me your name?" = ใช่, คุณบอกชื่อของคุณได้ไหม

"หมี"

"Do you understand English?" คุณไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเหรอ

"หมี"

"...Forget it" ลืมมันไปเถอะ

คราวหน้าน้องหมีคงต้องแนะนำตัวเองว่าชื่อโพล่าแบร์ละมั้ง ฝรั่งถึงจะเข้าใจ

พริกไทย (Pig Thai)

อยู่ เมืองไทยเป็นนักร้องชื่อดัง แต่ไปอยู่เมืองนอก ฝรั่งมองเป็นตัวขี้เกียจ ชีคมองเป็นของเสลง ซึ่งอิมพอร์ตมาจากเมืองไทยซะอย่างงั้น เอิ้ว

ป.ล. เจ้าของบล็อกมีซีดีเพลงของพริกไทยอยู่ที่บ้านด้วยนะเออ

ลูกชิด (Look Sh!t)

มี จริงๆ นะ ผู้หญิงที่ชื่อลูกชิด ตอนแรกที่ได้ยิน ผมเข้าใจว่าเธอชื่อลูกชิ้น ที่ไหนได้ เธอบอกว่าชื่อลูกชิด ที่ใส่อยู่ในเต้าทึงนี่แหละ

ขนาดผมยังรู้สึกแอบปวดตับนิดๆ ตอนที่ต้องเรียกชื่อเธอ แล้วถ้าเป็นฝรั่งจะขนาดไหนนะ

วาย (Why) ทำไม

"Hello. What's your name?" สวัดดี คุณชื่ออะไร

"วาย"

"I'd like to know your name." ผมอยากจะทราบชื่อของคุณ

"วาย"

"Because you're cute, I like you! Can you tell me your name now?" เพราะคุณน่ารัก, ผมชอบคุณ! คุณสามารถบอกชื่อของคุณขณะนี้

"วาย"

"Hey, why didn't you tell me easily?" เฮ้, ทำไมคุณไม่บอกฉันดีๆ ล่ะ?"

"วาย"

"You're annoying me! That's not funny!" เธอน่ารำคาญ ฉันไม่ตลก!"

"วาย"

"...Forget it." ลืมมันไป เถอะ

ทำเอาฝรั่งคิดว่าหล่อนกวนตีนซะงั้น วายเอ๊ย...

ใคร ที่มีชื่อดังที่เขียนไว้ตามที่ว่ามานี้ ลองไปคิดชื่อใหม่ให้ฝรั่งเรียกจะดีกว่านะครับ เห็นเป็นเรื่องขำๆ ก็เถอะ แต่ลองคิดดูสิว่า ถ้าเกิดเราต้องติดต่องานกับฝรั่ง แล้วเราต้องใช้ชื่อที่ติดสแลงฝรั่งแบบนั้น ก็คงไม่ดีแน่ๆ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

อย่าทำ 4 อย่างเเล้วชิวิตจะดีขึ้นในปีนี้

1. อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น
ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ‘กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก’ คน
ที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ‘จิตประภัสสร’ ฉะนั้น จงมองคน
มองโลกในแง่ดี’แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข’



2. อย่ามัวแต่คิดริษยา

‘แข่งกันดี ไม่ดีสักคนผลัดกันดี ได้ดีทุกคน’ คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า
‘เจ้ากรรมนายเวร’ ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น
เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ‘ไฟสุมขอน’ (ไฟเย็น)
เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ‘แผ่เมตตา’ หรือ ซื้อโคมมา
แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป



3. อย่าเสียเวลากับความหลัง

90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ‘ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น’
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก
เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ‘อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต
มากรีดปัจจุบัน’ ‘อยู่กับปัจจุบันให้เป็น’ ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย
คือมี ‘สติ’ กำกับตลอดเวลา



4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

‘ตัณหา’ ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี
เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ
‘ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม’ ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น
คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ
ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ
คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ
ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า ‘เกิดมาทำไม’
‘คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ‘ตามหา ‘แก่น’
ของชีวิตให้เจอคำว่า ‘พอดี’ คือ ถ้า ‘พอ’ แล้วจะ ‘ดี’ รู้จัก ‘พอ’
จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำมากเกินไปก็ไม่ดีน่ะ


ก่อนหน้านี้เรามักจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า "การดื่มน้ำมาก ๆ นั้นดีต่อร่างกาย" แต่ดูเหมือนว่าคำแนะนำนี้จะค่อนข้างใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


ทั้งนี้เนื่องจากว่าในระยะหลังมานี้มีข้อโต้แย้งคำแนะนำดังกล่าวนี้มากขึ้น โดยดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน

ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่นขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด
นอกจากนี้นักเคมีบำบัดของเยอรมันยังกล่าวว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไปนั้นก็เป็นอันตรายเช่นกัน เช่นในหมู่นักกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้โซเดียมในร่างกายลดลง แถมการดื่มน้ำมากเกินไปก็ยิ่งทำให้เกิดการกระหายน้ำมากขึ้นด้วย



แต่ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ด้วย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี ๆ คือ 6 - 8 แก้ว (ประมาณ 1.2 ลิตร) จะดีกว่าค่ะ


ที่มา fwmail

คิดให้ดีก่อนคิดจะซื้อของ Sale


สาวๆ คนไหนที่ชอบตาโตเวลาเห็นป้ายตัวโตเขียนว่า Sale โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีห้างดังต่างๆ ก็ขนเอาสินค้ามากมายมา Sale สาวๆขอช้อปก็พากันไปจับจ่ายซื้อมาอย่างบ้าคลั่ง

ซึ่งบางทีอาจจะทำให้คุณอาจต้องมานั่งเสียใจภายหลังเพราะเ
งินในกระเป๋าหมดไป กับของที่ไม่จำเป็นก็ได้นะค่ะ มาคิดและตังสติกันสักนิดก่อนคิดจะซื้อของ Sale

1. ตั้งเป้าหมายกันหน่อยว่า จะซื้อของขวัญให้ใครบ้าง เขียนรายการเลย นึกไว้ก่อนยิ่งดีว่าจะซื้ออะไรให้ใคร

2. ไม่จำเป็นต้องซื้อของขวัญให้แต่ละคนเฉพาะตัว ขอแนะนำให้ซื้อแบบยกโหลออกแนวของชำร่วย ไปดูแผนกลดราคาที่แต่ละชิ้นไม่แพงมาก จะคุมงบได้ดีกว่า หรือให้แบบชิ้นใหญ่ให้ไปแบ่งกันเอง อย่างขนมต่างๆ

3. ตั้งงบในการซื้อ เวลาไปจริงจะได้ซื้อตามงบ ข้อดีอีกอย่างก็คือช่วยให้ไม่ต้องเผลอซื้อของที่ราคาลดกระหน่ำจริง แต่พอรวมๆ แล้วบานเกินงบไปเยอะ

4. ช่วงเซลล์นี้พยายามไปหาซื้อของคราวเดียวให้จบ หรือไปให้น้อยครั้งที่สุด ยิ่งไปบ่อยยิ่งเผลอซื้อของลดราคาอย่างอื่นพ่วงมามาก แล้วอย่าลืมบวกค่ารถด้วยล่ะ

5. กระบะเซลล์ถูกสุดๆ ใช่ว่าจะมีของคุ้มค่าเสมอไป เพราะคุณมักจะเผลอจ่ายเงินไปกับของที่ไม่ต้องการแต่ราคาถูกยั่วใจมากมายหลาย ชิ้นโดยไม่รู้ตัว

6. ของที่ติดป้ายให้ซื้อหลายๆ ชิ้น อย่างเช่น ราคาปกติชิ้นละ 30 บาท ป้ายลดราคาเขียนว่า ซื้อ 2 ชิ้น 50 คุณไม่ได้ซื้อของถูกกลับบ้าน แต่กำลังจ่ายเงินเกินกว่าตั้งใจไป 20 บาทต่างหาก

7. ของที่มักจะถูกจริงๆ คือของที่จำกัดให้ซื้อ คนละไม่เกินที่ทางห้างร้านกำหนด

8. ของน่าซื้อคือพวกลดล้างสต็อก หรือเสื้อผ้าประเภทหมดฤดูกาล พวกนี้มักจะราคาถูกมากกว่าปกติ

9. ถึงของลดจะยั่วตายั่วใจขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช่ของใช้ประจำวันที่ซื้อมาแล้วใช้จริงๆ ก็ไม่คุ้ม ถ้าเผลอใจซื้อของลดกระหน่ำ ให้ซื้อพวกของกินของใช้ที่ต้องซื้ออยู่แล้วอย่างนี้ถึงคุ้มจริง

10. ดูที่จำนวนเงินที่คุณต้องจ่าย ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ที่ลดราคาลงมา ถึงแม้จะลด 50% แต่ถ้าราคายังแพงอยู่ ควรไปมองหาอย่างอื่นดีกว่า เพราะคุณต้องจ่ายเกินที่ตั้งใจไปมากแน่ๆ

11. อย่าลืมว่าป้ายลดราคาแต่ของไม่ลดจริงยังมีอยู่เสมอๆ

12. ทั้งของใช้ เสื้อผ้า อาหาร ลองมองยี่ห้อโนเนมราคาถูกกว่า แพ็กเกจไม่ค่อยอลังการดูบ้าง อาจจะได้ของคุณภาพดีกว่า เพราะไม่ได้มีค่าโฆษณาหรือค่าแพ็กเกจแพงๆ นำมาห่อเอง

13. เลิกติดอยู่กับยี่ห้อเดิมๆ ลองยี่ห้อใหม่ดู ช่วงปีใหม่จะมีสินค้าใหม่ๆ มาให้เลือกลอง และจะลดราคาถูกจริงเพื่อเรียกลูกค้า

14. เปลี่ยนรสนิยมการซื้อของฟุ่มเฟือย หรือพวกกระเช้าของขวัญแพงๆ มาเป็นของกินของใช้จำเป็นให้เป็นของขวัญบ้าง ราคาถูกกว่าได้ประโยชน์กว่าด้วย

15. อย่าซื้อตอนเหนื่อย เพราะจะซื้อแบบไม่มีจุดหมายแล้วยังลืมเรื่องงบประมาณ

ก่อนออกจากบ้านท่องไว้เลยว่าคุณจะเข้มแข็งเข้าไว้ ไม่ยอมเข่าอ่อนไปกับป้ายลดราคาเด็ดขาด
ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail