วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 สิ่ง 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ' ในเยอรมัน

PLEASE DO .....


เด็กดีดอทคอม :: 5 สิ่ง ควรทำ และ ไม่ควรทำ ในเยอรมัน 1. จับมือทักทายกับอีกฝ่ายเมื่อถูกแนะนำให้รู้จัก (ถ้าไม่จับมือ ถือว่าไม่สุภาพ)

2. อย่างที่รู้ๆ ว่าคนเยอรมันชอบดื่มเบียร์มาก ก่อนดื่มเบียร์ทุกครั้งต้องพูดว่า PROST!
(ความหมายประมาณ Cheers) โดยขณะพูดนั้นอย่าลืมมองตาเพื่อนๆ ที่ร่วมดื่มเบียร์ด้วยกัน

3. คนเยอรมันชอบพูดคุยกันเรื่องการเมืองและปรัชญา ถึงแม้จะเป็นการพบกันครั้งแรกก็ตาม ดังนั้นสามารถพูดคุยได้อิสระ ไม่ต้องกลัว (ที่เมืองไทยคงไม่ได้อะเนาะ ฮ่าๆ)

4. เมื่อรับโทรศัพท์ทุกครั้ง ควรจะพูดชื่อตัวเองก่อนว่าใครเป็นคนรับสาย

5. ร้านค้าจำนวนมากในเยอรมันมักไม่รับบัตรเครดิต เพราะฉะนั้นอย่าลืมพกเงินสด
หรือกด ATM เผื่อไว้
เด็กดีดอทคอม :: 5 สิ่ง ควรทำ และ ไม่ควรทำ ในเยอรมัน

PLEASE DON'T .....
1. ห้ามมาสาย คนเยอรมันมักตรงเวลาเสมอ

2. ห้ามมอบดอกลิลลี่ให้แก่คนเยอรมัน เพราะใช้ใน
พิธีงานศพ

3. ดอกคาร์เนชั่นก็เช่นกัน เพราะหมายถึงความเศร้าโศก เสียใจ

4. เวลาเดินบนฟุตบาท สังเกตดีๆ เพราะบนฟุตบาท
จะแบ่งเป็น 2 เลนคือสำหรับคนเดินและสำหรับคนขี่

จักรยาน ถ้าไปเดินบนเลนที่ไว้สำหรับขี่จักรยาน อาจจะ

โดนจักรยานเสยและอาจโดนด่าฟรีๆ ได้


5. อย่าข้ามถนนสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนอกจากจะผิด

กฎหมายแล้ว อาจถูกโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ หรือ
อาจจะถูกจับได้

เด็กดีดอทคอม :: 5 สิ่ง ควรทำ และ ไม่ควรทำ ในเยอรมัน

3 วิธีฝึกภาษาเด็ด รับประกันเห็นผลจริง!

พยายามเข้ากลุ่มที่มีเพื่อนต่างชาติเยอะๆ

เพราะจะทำให้เราได้ใช้ภาษาอังกฤษในการพูดและสื่อสารกับเพื่อนๆ แน่นอนค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคนอื่นว่าอยากเว่อร์หรืออยากไฮโซ สะบัดบ๊อบใส่ไปเลย แต่วิธีนี้ได้ผลจริงๆ ค่ะ เพราะน้องๆ บางคนไปเรียนเมืองนอก แต่ก็ขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนคนไทย กินข้าวก็กินกับคนไทย ทำงานกลุ่มก็ทำกับคนไทย วันๆ จึงพูดแต่ภาษาไทยเหมือนเดิม ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย นับว่าเปล่าประโยชน์มากๆ ดังนั้นพยายามหาเพื่อนสนิทที่เป็นคนต่างชาติจะเวิร์คมากๆ ค่ะ



อยู่หอพักของมหาวิทยาลัย

การอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยนั้น ทางหอพักจะสุ่มรูมเมทให้ค่ะ เราก็ต้องลุ้นเอาเองว่ารูมเมทของเราจะเป็นเพื่อนชาติไหน ซึ่งส่วนมากก็ไม่ใช่คนไทยด้วยกันอยู่แล้ว การมีรูมเมทเป็นเพื่อนต่างชาตินี่ดีและสนุกมากๆ เลยนะคะ เพราะเราก็จะได้แชร์ของกิน ของใช้ พูดคุยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมบ้านเกิดของแต่ละอีกฝ่าย ซึ่งในการสื่อสารแน่นอนว่าก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แต่ไปๆ มาๆ น้องๆ อาจจะโชคดีได้ภาษาที่สามคือภาษาของเพื่อนรูมเมทด้วยเลยล่ะ 555+

เด็กดีดอทคอม :: 3 วิธีฝึกภาษาเด็ด รับประกันเห็นผลจริง!

ดูละครไทยหนังไทยให้น้อยลง

เป็นปกติเวลาที่เราอยู่ไกลบ้าน เราก็ต้องคิดถึงอะไรที่มันเป็นของไทย คนไทย อาหารไทย ขนมไทย ไปจนถึงละครไทยหนังไทย ดังนั้นบางคนวันๆ ก็มัวแต่เปิดยูทูบดูละครไทยทั้งวันทั้งคืน ซึ่งมันก็อาจช่วยทำให้คลายความเหงาลงไปได้บ้าง แต่ในมุมกลับกัน ถ้าน้องๆ เจียดเวลาในการนั่งดูละครไทยซักครึ่งหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปดูซีรีส์ฝรั่งเพื่อฝึกฟังภาษา (อย่าอ่านซับไตเติ้ลนะ) รับรองว่าจะได้ประโยชน์มากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะร้อยทั้งร้อยของคนที่ฝึกการฟังนั้น เค้าก็ใช้วิธีการดูซีรีส์ฝรั่งเนี่ยล่ะค่ะ ได้ผลจริงๆ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553


L'histoire de cette expression est de référence biblique...

Marie, de la ville de Magdala (aujourd'hui plus connue sous le nom de Marie-Madeleine), était une prostituée.Lorsqu'elle apprit la venue du prophète Jésus en la demeure d'un des " notables " de la ville, elle s'y rendit, et se mit aux genoux de celui-ci, baignant ses pieds de ses larmes, les essuyant ensuite avec ses cheveux avant de les arroser de parfum, tout en lui avouant ses péchés.La force de son repentir s'exprimant par ses larmes et sa contrition lui apportèrent le pardon de Jésus sur ses erreurs passées.Elle fut dès lors une de ses plus fidèles disciples.C'est elle également qui, découvrant l'absence de la pierre sur le tombeau de Jésus après sa mort par crucifixion, se mit à pleurer, et à laquelle le Christ ressuscité apparut en premier pour lui annoncer sa résurrection, lui demandant de sécher ses larmes.Aujourd'hui on appelle une Madeleine ou une Marie-Madeleine une ancienne prostituée ayant cessé ses activités.Ce sont les larmes de Marie de Magdala, versées abondamment et relatées dans la Bible, qui donnèrent le jour à l'expression connue


aujourd'hui.Ainsi donc ceux qui s'imaginaient que l'expression pouvait avoir un rapport avec les tendres gourmandises fondantes de notre enfance se méprenaient... Mais ce peut être un très bon moyen de consoler et de sécher les larmes, en revanche, que d'en offrir...

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักเกลือกันเถอะ !!!




เกลือ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า salt นั้น ในความหมายทางวิชาเคมี หมายถึงสารประกอบของโลหะกับอนุมูลกรด เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกรดกับด่าง เกลือที่มีใช้กันมีหลายชนิด ดังนี้

1. เกลือแกง (NaCl) คือเกลือที่ใช้ประกอบอาหาร ได้จาก 2 แหล่งคือ

- ได้จากน้ำทะเล เรียกว่า เกลือสมุทร คำว่า Samudra ในภาษาสันสกฤตแปลว่า ทะเลใหญ่

- ได้จากใต้ดิน เรียกว่า เกลือสินเธาว์ มาจากภาษาสันสกฤตว่า Sindhava ฝรั่งเรียกว่า Rock salt

2. เกลือจืด (CaSO4.2H2O) หรือ ยิปซัม หรือ หินเต้าหู้ เป็นเกลือที่ใช้ในการปั้นปูน อุตสาหกรรมก่อสร้าง และผลิตเต้าหู้

3. เกลือด่างคลี ในตำราบางเล่มกล่าวว่าเป็นเกลือที่เกิดจากการผสมของวัตถุ 3 ชนิดอันได้แก่ เกลือสมุทร 1 เกลือสินเธาว์ 1 และ ด่างที่ได้จากเถ้าของการเผาไม้บางชนิด เช่น เถาไม้พันธุ์งู (เรียกว่าด่างพญานาค) แต่เมื่อพิจารณาจากรากศัพท์แล้ว เกลือ ด่างคลี น่าจะเป็นเกลือของธาตุ คาลิอุม (Kalium) หรือ คาลิ (Kali) หรือก็คือเกลือโพแทสเซียม (K) มากกว่า

4. เกลือฟอง คือเกลือจืดที่เกิดในดิน

5. เกลือสะตุ เป็นเกลือแกงที่นำมาคั่วจนความชื้นและน้ำระเหยออกไป ทำให้เสียรูปผลึกของ NaCl

6. ดีเกลือ มีสองชนิดคือ

- ดีเกลือฝรั่ง มีสูตรทางเคมีว่า MgSO4.7H2O

- ดีเกลือ มีสูตรทางเคมีว่า Na2SO4

7. เกลือเยาวกะสา (K2CO3) ฝรั่งเรียกว่า Pearl a
sh หรือ Salt of Tatar เกลือชนิดนี้ได้ชื่อมาจากภาษาสันสกฤตว่า Yavakshara เมื่อเขียนเป็นไทยจึงควรเขียนว่า เยาวกะษา

8. เกลือสุนจะละ (KNO3) ฝรั่งเรียกว่า Saltpetre หรือ Nitre เกลือชนิดนี้ สมัยก่อนแขกชาวอิเดียนำเข้ามาขายในประเทศไทย ชื่อนี้จึงควรเขียนว่า สุรจะละ ซึ่งจะพ้องกับคำว่า Surakchaaram (ภาษาสันสกฤต) หรือ Surcharam (ภาษาเตลูกู) หรือ Surakhara (ภาษาคานารีส)

ต่อมา เกลือชนิดนี้ได้หยุดจำหน่ายในประเทศไทย กอปรกับมีคำว่า (ดิน) ประสิว เกิดขึ้น ซึ่งเป็นชื่อของเกลือเม็ดเล็กๆที่เกิดจากการต้มขี้ค้างคาวหรือขี้นกอีแอ่น มาใช้แทน ดังนั้น ในทางเคมีทั้งดินประสิวขาวและเกลือสุรจะละ จึงเป็นของอย่างเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 พฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล



บางครั้งสิ่งต่างๆ ที่เราทำเป็นประจำทุกวันก็ทำร้ายโครงสร้างของร่างกายให้เสียมสมดุลโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมของคนทำงานแทบทั้งสิ้น เรามาดูกันค่ะว่าพฤติกรรมที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง แล้วลองตรวจเช็คดูนะคะว่าคุณทำในสิ่งเหล่านี้กี่ข้อ


1. ใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง สาวๆที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงเกินกว่า 1 นิ้วครึ่งคงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่แล้วล่ะค่ะเพราะการสวมรองเท้าส้นสูงๆ จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ทำให้โครงสร้างของร่างกายผิดปกติและทำให้มีอาการปวดหลังตามมา

2. นั่งไขว่ห้าง นี่ก็เป็นอีกพฤติกรรมที่มีคนนิยมทำกันมาก แต่ทราบไหมคะว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนค่ะ

3. นั่งกอดอก เวลาที่รู้สึกว่ามือไม้เกะกะ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี การกอดอกไว้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก ซึ่งการกอดอกจะทำให้หลังช่วงบนสะบัก และ หัวไหล่ ถูกยืดออก หลังช่วงบนจะค่อมและงุ้มไปด้านหน้าทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า ซึ่งมีผลต่อเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงแขน จึงอาจทำให้มืออ่อนแรง หรือมีอาการชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองด้วย เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูปไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจึงถูกจำกัด ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดศรีษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

4. นั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น หลายคนคงจะเคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาแล้ว การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้อทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ ในทางตรงข้าม ถ้านั่งเก้าอี้ให้เต็มก้นคือเลื่อนก้นให้เข้าไปถึงด้านในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยลง และเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่
5. นั่งหลังงอ บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจที่นั่งหลังงอแต่พอนั่งไปนานๆ เราก็ค่อยๆ งอหลังลงโดยที่ไม่รู้ตัว การนั่งทำงานหลังงอหรือนั่งกลังค่อมเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

6. สะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียว มักจะเป็นกลุ่มคุณผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีของจุกจิกใส่ไว้ในกระเป๋ามากมาย การสะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียวนานๆ จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพียงซีกเดียว ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดได้ ทางที่ดีควรสลับข้างกันสะพายบ้างหรือเปลี่ยนมาใช้วิธีถือแทนการสะพายพยายามทำให้ร่างกายทั้งสองซีกมีความสมดุล และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรสะพายหรือหิ้วของหนักๆ นานๆ

7. หิ้วของหนักๆ ด้วยนิ้ว โดยเฉพาะคนที่ชอบใช้เพียงบางนิ้วในการหิ้วของ การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะทำให้เกิดพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆ แล้วกล้ามเนื้อมือและนิ้วเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กมีหน้าที่หลักคือ ใช้หยิบ, จับของเบาๆ หากต้องใช้จับหรือหิ้วของหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสีและเกิดพังผืดขึ้นในที่สุด ถ้าหิ้วของหนักมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ถูกรั้ง และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

8. ยืนหลังแอ่น และ ยืนหลังค่อม จำทำให้แนวกระดูกช่วงล่างแอ่นและทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา การยืนที่ถูกต้องคือ ยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย รวมถึงขณะเดินและนั่งก็ให้แขม่วท้องเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

9. ยืนพักขา เป็นการยืนโดยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อขาข้างนั้นๆ ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป และทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้การยืนที่ถูกต้องคือต้องลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างจะไดรับน้ำหนักเท่าๆ กัน

10. นอนขดตัว หรือ นอนตะแคง จะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวตรง ท่านอนที่ถูกต้องที่สุดคือ ท่านอนหงาย โดยให้หน้าขนานกับเพดาน ไม่หงายไปด้านหลัง หรือ งอมาด้านหน้ามากเกินไป หมอนหนุนศรีษะก็ต้องไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างมาก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้างเพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับพฤติกรรมทั้ง 10 ข้อนี้ คุณมีกี่ข้อคะยิ่งมีมากข้อเท่าไหร่ โครงสร้างของร่างกายก็เสียสมดุลมากเท่านั้นเพราะฉะนั้นมาปรับพฤติกรรมในชีวิตเสียใหม่ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายคุณนะคะ

ขอขอบคุณที่มา pooyingnaka.com

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำ กล้วยบวชชี

10 แบบ THAILAND ONLY ที่ไม่น่านิยม




1. นัดแบบไทยๆ

ไปไหนก็ตาม ผิดนัดทุกที เจ้าภาพจะจัดงานอะไรมักจะนัดเผื่อเอาไว้ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงเสมอ นัยว่าถ้านัดพอดีเวลา คนก็ยังไม่มากัน ต้องเริ่มงานล่าช้า ต่อไปอีก เพื่อจะให้มากันพอดีๆ เลย ต้องนัดให้เร็วเข้าไว้ก่อน ประเพณีนี้ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ถ้าจัดงานกันในหมู่คนไทย ก็ไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นงานที่มีชาวต่างประเทศมาร่วมงานด้วย ก็ได้ขายหน้าเขาทุกงานนั่นแหละ บางทีเจ้าภาพก็มาทีหลังแขก แล้วแทนที่จะขอโทษขอโพยกลับยิ้มแย้มแจ่มใจ อ้างว่า "นัดแบบไทยๆ" ซึ่งไม่เข้าท่าเลยจริงๆ เปลี่ยนค่านิยมแบบนี้กันเถอะ ประเทศจะได้เจริญรุดหน้าไปอีกเยอะเลย


2. ประชุมแบบไทยๆ


คือ ประชุมบ่อยมาก ประชุมนานเหลือเกิน และไม่ได้สาระจากการประชุม จะเห็นว่าคนไทยทุกวันนี้ โดยเฉพาะในหมู่นักธุรกิจ นักสังคมสงเคราะห์ มักจะมีเรื่องประชุมบ่อยมาก ประชุมกันเกือบทุกวัน บางวันตั้ง 3-4 งาน แล้วประชุมแต่ละงานนานมาก ตั้งครึ่งวันค่อนวัน สาเหตุก็มาจากข้อ 1(นัดแบบไทยๆ)นั่นแหละ ลงท้ายนึกว่าจะได้เรื่องได้ราวอะไรมากมาย ปรากฏว่าไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ บางทีกลับ "มีเรื่อง" เสียอีก ไม่ประชุมเสียยังดีกว่า ยังคุยกันได้บ้าง พอประชุมเสร็จโกรธกันไปเลย นี่แหละคนไทย ประชุมแบบไทยๆ ไม่สามารถแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่สามารถทนได้เมื่อเห็นความคิดของตัวเอง ที่ประชุมเขาไม่เอาด้วย เห็นข้อแตกต่างระหว่างความคิดแบบไทยๆ กับความคิดที่เป็นสากลรึยังล่ะ


3. เล่นการเมืองแบบไทยๆ


ก็ ซอยเท้าอยู่กับที่มานานมากแล้ว ยังไม่ไปไหนเลย โทษดินโทษฟ้า โทษดวงบ้านโทษดวงเมืองไปโน่น บ้างก็โทษรัฐธรรมนูญ โทษไปหมด ไม่มีใครโทษตัวเองเลย ก็โทษกันนัวเนียอยู่นี่แหละ มีบางคนบ่นว่า "การเมืองไทย ยิ่งเล่นยิ่งถอยหลังเข้าคลอง" คิดๆ ดูแล้ว เราอยู่ในคลองนี้มาหลายสิบปีแล้ว แล้วเราจะถอยหลังลงคลองได้ยังไงกันล่ะ นี่ล่ะนะ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ เล่นการเมืองแบบไทยๆ


4. ทำงานแบบไทยๆ


ไม่ อยากจะแยกว่าทำงานราชการหรืองาน เอกชน ถ้าแบบไทยละก็ อืดอาด ยืดยาด เช้าชามเย็นชาม อย่างที่เขาว่า แต่ถ้าเทียบกันจริงๆ แล้ว ราชการมักเป็นอย่างนี้เสียมากกว่า เพราะเอกชนถึงจะเป็นบ้าง นายจ้างเขาไม่ปล่อยเอาไว้นาน ถ้าเขาจะแกล้งปล่อยลูกน้องให้ทำอย่างนั้น ก็แปลว่าเขากำลังจะเลิกธุรกิจนั้นแล้ว ก็เลยปล่อยให้อยู่ไปวันๆ หนึ่ง รอวันตาย หรือเปลี่ยนเจ้าของ พูดอย่างนี้อาจแสลงใจข้าราชการ เพราะว่ากันจริงๆ แล้ว ณ เวลา 8.30 น. มีข้าราชการทั่วประเทศพร้อมที่จะทำงานร้อยละเท่าไร ณ เวลา 13.00 น. มีข้าราชการรับประทานอาหารเสร็จพร้อมจะทำงานต่อร้อยละเท่าไร และเมื่อเวลา 16.30 น. มีข้าราชการยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนร้อยละเท่าไร ใครตอบได้บ้าง !


5. รัฐวิสาหกิจแบบไทยๆ


เห็น จะไม่ต้องยกตัวเลขกำไร ขาดทุน ของรัฐวิสาหกิจไทยแต่ละแห่งให้ดูหรอกนะ สรุปว่าขาดทุนกันเกือบถ้วนหน้า มีกำไรอยู่บ้างไม่กี่แห่ง พอรักษาหน้ารัฐบาลไทย และไม่เคยมีผู้ใหญ่ยุคใดที่ลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ล้วนแต่ลูบหน้าปะจมูก บางทีก็กลับกลายเป็น "สร้างปัญหาใหม่" ขึ้นมา แทนที่จะแก้ปัญหา


6. ค้าขายแบบไทยๆ


เปล่า นะ ไม่ได้หมายถึงหาบเร่ แผงลอย ที่ถูกตำรวจไล่จับราวกับวัวกับควายหรอกนะ แต่หมายถึงการค้าขายในระดับประเทศ เราเอาคนมีฝีมือระดับไหนมาทำงานด้านนโยบายการค้าต่างประเทศ สินค้าของเราหลายอย่างมีคุณภาพดี เป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศ ทั้งประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงและโพ้นทะเล แต่เราทันเขาไหม ทั้งไหวพริบปฏิภาณและข้อมูลทางการตลาด และเราจะต้องทนขาดดุลการค้าแบบนี้ไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี



7. ขับรถแบบไทยๆ


มี นักทัศนาจรชาวต่างประเทศคนหนึ่ง ไปเขียนลงแมกกาซีนในต่างประเทศว่า ถ้าใครสามารถขับรถในกรุงเทพฯ ได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุแล้ว เขาสามารถขับรถได้ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกวัน รถชนคนตายทุกวัน เรื่องฝ่าสัญญาณไฟจราจร ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ทั่วโลกนี้เขาตกลงกันว่า "ไฟเขียวแปลว่า ไปได้ ไฟเหลืองแปลว่า เตรียมตัวหยุด และไฟแดงแปลว่า ต้องหยุดทันที" แต่ของไทยเรานี่ "ไฟเขียวแปลว่าไปได้ ไฟเหลืองแปลว่าให้รีบไปด่วน ไฟแดงแปลว่าอยากไปก็ไปได้ (วะ)" แล้วมันจะไปเหลืออะไร นี่แหละ ขับรถแบบไทยๆ


8. เลี้ยงลูกแบบไทยๆ


การ เลี้ยงเด็กบ้านเรา หาความพอดียาก บางคนก็เลี้ยงลูกให้ลูกเดินตกท่อ บางคนก็เลี้ยงแบบให้ขี่คอตลอดเวลา ก็มีข่าวอยู่เสมอๆ แม่เดินนำหน้า ปล่อยให้ลูกอายะ 3 ขบเดินตามหลังห่าง 2 ไฟฟ้า ลูกตกท่อ กทม. ตายไปแล้ว จนรุ่งเช้ายังไม่รู้ว่าลูกหายไปไหน อย่างนี้เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่โตหรอกนะ ตายเสียก่อน แต่บางคนก็เลี้ยงลูกแบบทะนุถนอมเหลือเกิน ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกเดินชนเสาร้องไห้ แม่ก็ไปตีเสา ลูกเหยียบชามข้าวหกล้ม แม่ก็ไปตีชาม ลงท้ายลูกเลยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ผิดเลย คนอื่นผิดอยู่เรื่อย เด็กบางคนอายุ 6 ขวบแล้ว ไปโรงเรียนอนุบาล มีคนใช้หิ้วกระเป๋าเดินตาม เห็นแล้วอยากจะถามว่า ถ้าเด็กคนนั้นแกหิ้วกระเป๋าเองไม่ได้ แล้วโตขึ้นแกจะหิ้วอนาคตได้อย่างไร


9. แต่งงานแบบไทยๆ


ก็ เลี้ยงช้างนะซีงานนี้ ในชนบทก็เลี้ยงกันสามวันสามคืน ในกรุงก็ต้องฉลองกันบนโรงแรมหรูๆ ออการ์ด 3,000 ใบ ลงหนังสือพิมพ์ต่างหากอีก เสร็จแล้วอยู่กันไม่กี่วันเลิกกันเสียแล้ว !!! บางคนไปกู้เงินเขามาแต่งงาน ดอกร้อยละ 20 พอแต่งงานเสร็จต้องมานั่งใช้หนี้เขาต่อไป ขาดความเจียมเนื้อเจียมตัว ขาดความพอดี นี่ไม่ได้ว่าหมดทุกงานนะ เห็นเป็นบางงานอ่ะ ที่พอดีๆ ก็มีเยอะจ้า


10. กินเลี้ยงแบบไทยๆ


เดี๋ยว นี้กลายเป็นประเพณีอีกอย่าง หนึ่งในสังคมไทยเสียแล้ว จะทำอะไรก็ต้องจัดงานเลี้ยง วันเกิด เปิดป้าย แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ตรุษไทย ตรุษจีน ตรุษแขก ตรุษฝรั่ง เลี้ยงรุ่น เลี้ยงรับ เลี้ยงลา เลี้ยงเกษียณอายุ ฯลฯ ยิ่งรุ่นไหนมีคนดัง ยิ่งต้องจัดเลี้ยงถ่ายรูปลงหน้าสีหนังสือพิมพ์ให้ได้ มิฉะนั้นเขาไม่รู้ว่าตัวอยู่รุ่นเดียวกับคนดัง เข้าทำนอง "กินเลี้ยง กินเหลา กินเหล้า กินเหลือ" จะเรียกว่ากินกันให้ตายไปข้างหนึ่งก็ว่าได้ เรียกว่า กินแบบไทยๆ




บทความนี้สร้างขึ้นเพื่อให้คนไทยมองตัวเองว่ามันเป็นจริงหรือไม่

ไม่ได้สร้างเพื่อซ้ำเติมใดๆทั้งสิ้น

เผื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านแล้วอยากที่จะเปลี่ยนเปลงความเป็น THAILAND ONLY บ้าง



ที่มา : Stoty2you.com

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553




ความหมายของคำว่าแม่
พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายของคำว่า "แม่" ไว้ดังนี้

แม่ หมายถึง หญิงในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกหญิงผู้ให้กำเนิดตน พุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า "แม่" ซึ่งหมายถึง หญิงที่มีครอบครัวไว้หลายนัย เช่น

๑) แม่ บางทีเรียกว่า มารดา มารดร หมายถึง เป็นใหญ่ เช่น แม่ทัพ แม่น้ำ แม่กอง เป็นต้น อันแสดงถึงความยิ่งใหญ่ภายในกิจการนั้นๆ ในที่นี้มาใช้กับผู้ให้กำเนิดแก่ลูกและหาตัวแทนไม่ได้ - หญิงในฐานะผู้ให้กำเนิดแก่ลูก และหาตัวแทนไม่ได้ - คำที่ลูกเรียกหญิงผู้ให้กำเนิดตน - คนที่เป็นหัวหน้า หรือเป็นนาย โดยไม่จำกัดว่าเป็นชายหรือหญิง เช่น แม่ทัพ แม่กอง ฯลฯ รวมความแล้ว "แม่" คือ ผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน โดยการรับผิดชอบนั้นมีขอบเขตภายในบ้านเรือน
๒) ชนนี หมายถึง ผู้ให้กำเนิดลูก, เป็นที่บังเกิดเกล้าของลูก ๓) ภรรยา หรือภริยา หมายถึง - เมีย หรือ หญิงผู้เป็นคู่ครองของชาย - ผู้เลี้ยง หรือผู้ดูแลสมาชิกของครอบครัว


ความเป็นมาของวันแม่แห่งชาติ
วัน แม่แห่งชาติหรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและ ซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ ตรงกับวัน เฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือวันที่ ๑๒ สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติด้วยแต่เดิม นั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกๆ ปีทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี ประกาศรับรอง เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดีด้วยประชาชนให้การสนับสนุน จนสามารถขยายขอบข่ายของงาน ให้กว้างออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขัวญวันแม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกียรติแก่แม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้น ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยนั้น) แต่ทั่วไปเรียกกันว่า วันแม่ของชาติ

ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่ม ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นต้นมา จากหนังสือของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพรเกียรติไว้ว่า "แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริม ธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว ความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามระบอบของการปกครองแบบ ประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เหนือสิ่งอื่นใด หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่างๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นนี้อยู่แล้วจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกหัดอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมืองและของปวงชนชาวไทยทั้งมวล"ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องของวันแม่ของ ชาติตามเหตุผลของทางราชการ

ส่วนที่เกี่ยวกับวันแม่ของไทยตามความ รู้สึกนึกคิดทั่วไปของคนไทยผู้เป็นแม่ คำว่า แม่ นี้เป็นคำที่ซาบซึ้ง ไม่มีการกำหนด วัน เวลา แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจของผู้เป็นแม่และลูกมานานแล้ว ดังสำนวนไทยประโยคหนึ่งว่า "แม่ใครมาน้ำตาใครไหล" ซึ่งพระวรเวทย์พิสิฐได้อธิบายไว้ในหนังสือวรรณกรรมเรื่อง "แม่" ว่า "เด็กไทยตามหมู่บ้านในสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กมักเล่นกันเป็นหมู่ๆ เด็กคนไหนแม่อยู่บ้าน เวลาเขาเล่นอยู่ในหมู่เพื่อนหน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กคนไหนที่แม่ไม่อยู่บ้าน ต่างว่าไปทำมาหากินไกลๆ หรือ ไปธุระที่ไหนนานๆ ก็มีหน้าตาเหงาหงอย ถึงจะเล่นสนุกสนานไปกับเพื่อนในเวลานั้นก็พลอยสนุกไปแกนๆ จนเด็กเพื่อนๆ กันรู้กิริยาอาการ เพราะฉะนั้น พอเด็กๆ เพื่อนๆ แลเห็นแม่เดินกลับมาแต่ไกล ก็พากันร้องขึ้นว่า แม่ใครมาน้ำตาใครไหล แล้วเด็กคนนั้นผละจากเพื่อนเล่นวิ่งไปหาแม่ กอดแม่ น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความปลื้มปิติ แล้วจึงหัวเราะออก ลักษณะอาการที่เด็กแสดงออกมา จากน้ำใจอันแท้จริงอย่างนี้ ย่อมเกิดจากความสนิทสนม ชิดเชื้อมีเยื่อใยต่อกัน แม่ไปไหนจากบ้านก็คิดถึงลูกและลูกก็เปล่าเปลี่ยวใจเมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน นี่คือธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างสรรค์บันดาล มันเกิดขึ้นเอง"และอีกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มเดิมที่อ้างข้างต้นให้ความหมาย ของคำว่า "แม่" ว่า "เสียงที่เปล่งออกมาจากปาก เป็นคำที่มีความหมายว่า แม่ เป็นเสียงและความหมายที่ลึกซึ้งใจมี รสเมตตาคุณ กรุณาคุณและความรักอยู่ในคำนี้บริบูรณ์ เด็กน้อยที่เหลียวหาแม่ไม่เห็นก็ส่งเสียงตะโกนเรียก แม่ แม่ ถ้าไม่เห็นก็ร้องไห้จ้า ถ้าเห็๋นแม่มาก็หัวเราะได้ทั้งน้ำตา นี่เพราะอะไร เราเดาใจเด็กว่า เมื่อไม่เห็นแม่เด็กต้องรู้สึกใจหายดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าขาดผู้ที่ปกปัก รักษาให้ปลอดภัย แต่พอเห็นแม่เข้าเท่านั้นก็อุ่นใจ ไม่กลัวเกรงอะไรทั้งหมดเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อเอ่ยคำว่าแม่ขึ้นทีไร ก็มักจะรู้สึกเกินออกไปจากความหมายที่เป็นชื่อเท่านั้น ย่อมนึกถึงความสัมพันธ์ที่แม่มีต่อเราเกือบทุกครั้ง แม่รักลูกถนอมลูก หวังดีต่อลูก จะไปไหนจากบ้านก็เป็นห่วงลูก ถึงกับแบ่งของรับประทานนั้นไว้ให้ลูก ลักษณะเหล่านี้ย่อมตรึงใจเรามิวาย"อย่างไรก็ตาม การที่ทางราชการประกาศกำหนดวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ย่อมก่อให้เกิดวันอันเป็นที่ระลึกที่สำคัญยิ่งของไทยเราวันหนึ่ง และกำหนดให้ถือว่า ดอกมะลิ สีขาวบริสุทธิ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่ตัวเรา อย่างคำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ที่ว่า

ขอขอบคุณที่มา
ผู้หญิงนะคะดอทคอม


เพลง แม่ของเรา พั้น วรกานต์



วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อีกมุมหนึ่งที่คุณไม่เคยรู้

ถ้าหากคุณได้เห็นภาพพวกนี้แล้วรูสึกเศร้า หดหู่ใจ และสงสาร
เราอยากให้คุณมองอีกมุมหนึ่ง ว่าคุณจะรู้สึกว่าเราโชคดี
แค่ไหนที่ได้เกิดมาในที่ดีๆ ให้อยู่
ได้มีหนังสือได้เรียน มีอาหารดีๆ ให้ทาน
และไม่ต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพเพื่อให้อยู่รอด

จงใช้ความโชคดีนั้นทำให้เป็นประโยชน์กันเถอะ


































ขอขอบคุณที่มาภาพจาก www.teenee.com/

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มาเลือกซื้อโยเกิร์ตน่ะ


พูดถึงโยเกิร์ต แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จัก แต่มีใครบ้างที่เลือกซื้อโยเกิร์ตให้ได้คุณค่า...วันนี้เรามีวิธีเลือกซื้อ โยเกิร์ตมาแนะนำค่ะ

เลือกซื้อโยเกิร์ตที่มีวันผลิตใกล้เคียงกับวันที่ซื้อมาก ที่สุด หรือเหลือวันหมดอายุนานที่สุด

เลือกซื้อรส ธรรมชาติที่สุด เพราะจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า

หาก ต้องการได้คุณค่าโปรตีนหรือแคลเซียม การเลือกดื่มนมสดรสจืดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะราคาถูกและให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่า

คน ที่อยากลดน้ำหนัก วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ให้กินอาหารหลักในปริมาณพอดีและงดโยเกิร์ต เพราะแม้จะเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แต่ก็มีน้ำตาล และการอ้างว่าไขมันต่ำหรือไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้พลังงานแก่ ร่างกาย

ใครที่มีสุขภาพแข็งแรง และกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องกินโยเกิร์ต

ไม่แนะนำให้ซื้อ นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม (UHT) โดย เฉพาะกับเด็กวัยเติบโต เพราะน้ำนมพร่องมันเนยหรือหางน้ำนมมาหมักด้วยจุลินทรีย์แล้วแต่งด้วยสี กลิ่น หรือน้ำผลไม้ ปริมาณโปรตีนจะลดลง และได้รับน้ำตาลทรายเพิ่มขึ้น

ทีนี้ก็ได้เวลามาเลือกซื้อโยเกิร์ตกันแล้ว ใครเหมาะกับแบบไหนก็เลือกกันได้ตามใจเลยค่ะ...

A blind boy เด็กตาบอด




เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึกโดยมีหมวกวางหงาย ไว้ข้างๆ
มีป้ายเขียนไว่ข้างตัวว่าผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย
มี เหรียญเพียงสองสามอันในหมวก





ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง แล้ววางลงที่เดิมเพื่อ ให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย

ใน ไม่ช้า...หมวกก็เต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ
คุณ เขียนว่าอะไรครับ


ชาย คนนั้นพูดว่าฉันแค่เขียนความจริง ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง

ฉัน เขียนว่า วันนี้ ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้

ทั้ง สองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า



ข้อสอนใจจากเรื่องนี้

จงขอบคุณใน สิ่งที่คุณมี ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์ ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก

ยามเมื่อชีวิตมีเหตุผล เป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้ จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้ เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป

สิ่ง ที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม และยิ่งงดงามกว่านั้น ที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ขอเป็นกำลังใจให้น่ะคะ



บท ความจาก@cloud

15 สิงหาคม วันประสูติ สมเด็จพระจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 1




15 สิงหาคม พ.ศ. 2312 วันประสูติ สมเด็จพระจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 1 (Emperor Napolean I) แห่งฝรั่งเศส หรือ “พระเจ้านโปเลียนมหาราช” ชื่อเดิมคือ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) เกิดในครอบครัวสามัญชนที่เมืองอายัคซิโอ (Ajaccio) เมืองหลวงของเกาะคอร์ซิกา (Corsica) อาณานิคมฝรั่งเศสในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อย Ecole Royale Militaire กรุงปารีส ฝรั่งเศส แล้วเข้าเป็นทหารในกองทัพฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 16 ปี ก้าวหน้าขึ้นจนได้เป็นนายพลในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) ในปี 2332 ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองประเทศฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปลายปี 2342 แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2347 นโปเลียนได้ทำสงครามกับดินแดนต่าง ๆ จนสามารถเข้าปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของยุโรป แล้วแต่งตั้งให้แม่ทัพและญาติพี่น้องขึ้นครองบัลลังก์ในราชอาณาจักรยุโรป หลายแห่ง ภายหลังประเทศตรงข้ามได้รวมตัวกันเป็นกองทัพนานาชาติเพื่อต่อต้านกองทัพของ นโปเลียน พระองค์จึงพ่ายแพ้ที่สมรภูมิที่เมืองไลป์ซิก (Leipzig) เปิดทางให้ข้าศึกบุกเข้าสู่ฝรั่งเศสในปี 2357 พระองค์จึงต้องสละราชสมบัติและถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเอลบา (Elba) ของอิตาลีก่อนจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง แต่อยู่ได้ไม่นานก็พ่ายแพ้แก่กองทัพนานาชาติอีกครั้ง ในที่สุดนโปเลียนถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเซนต์ เฮเลนนา (Saint Helena) และสิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็งที่นั่น พระเจ้านโปเลียนได้รับการยกย่องว่าเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ แม้ด้านหนึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นผู้กระหายในอำนาจและชัยชนะ แต่นโปเลียนก็ได้สร้างรัฐธรรมนูญและปฏิรูประบบกฎหมายฝรั่งเศสขึ้นอย่างเป็นระบบ ยกเลิกระบบเจ้าขุนมูลนาย ให้การอุปถัมภ์ทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วรรณคดีและศิลปะ และเสด็จ
สรรคตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2364