วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาทานผักผลไม้หลากสีต้านโรคกันเถอะ!!


หลาย ๆ คนเชื่อว่าการรับประทานผักใบเขียวจะดี แต่จริง ๆ แล้วการรับประทานผักผลไม้สีต่าง ๆ นั้นก็ดี เพราะแต่ละสีก็ให้สารต่างกัน ลองไปดูกันเลย

อาหารสีแดง มีสารไลโคปีน ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะผิวหนัง ช่วยลดไขมันในกระแสเลือด อาหารที่มีสีแดง ได้แก่ สตอเบอร์รี่ มะเขือเทศ ทับทิม แตงโม กระเจี๊ยบแดง พริกแดง

อาหารสีม่วง มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และบำรุงสายตา อาหารที่มีสีม่วง ได้แก่ องุ่น กะหล่ำปลีม่วง มะเขือม่วง ลูกพรุน บลูเบอร์รี่ เผือก

อาหารสีส้ม มีสารอัลฟาแคโรทิน เบต้าแคโรทิน และวิตามินสูง ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกาย บำรุงสายตา อาหารที่มีสีส้ม ได้แก่ ส้มทุกชนิด แครอท มะละกอสุก แคนตาลูป


อาหารสีเหลือง มีสารคริพโทแซ็นธิน ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง อาหารที่มีสีเหลือง ได้แก่ แตงโมสีเหลือง สัปปะรด มันเทศ ทุเรียน ขนุน ฟักทอง มะม่วงสุก ข้วโพ

อาหารสีเขียว มีสารเบต้าแคโรทิน แร่ธาตุต่าง ๆ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง อาหารที่มีสีเขียว ได้แก่ ผักโขม กะหล่ำปลี บร็อกโคลี สะตอ หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด


อาหารสีขาว มีสาร ออร์กาโนซัลไฟด์ และฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ลดอาการปวดข้อเท้า อาหารที่มีสีขาว ได้แก่ ลูกเดือย กระเทียม หอมหัวใหญ่ เห็ด แอปเปิ้ล


อาหารสีน้ำเงิน มีสารแอ็นโธไซอะนิน และ แอนติออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และบำรุงประสาท อาหารที่มีสีน้ำเงิน ได้แก่ ดอกอัญชัญ
เห็นแล้วใช่ไหมคะว่า ผักผลไม้สีอื่นก็มีประโยชน์เหมือนกันไม่ใช่แค่ผักใบเขียวเพียงอย่างเดียว คราวหน้าเพื่อน ๆ ก็ลองหาสีอื่นมารับประทานบ้างนะคะ..

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

History and background of Yves Saint Laurent


Born in 1936, Yves Saint Laurent grew up in Oran, Algeria. At 17, he left for Paris where he showed his drawings to Michel de Brunhoff, director of Vogue, who published several of them immediately. Following a stint at fashion school, Saint Laurent was introduced to Christian Dior by de Brunhoff and he went on to work for Dior until his death in 1957.

After taking over as art director for Dior, Saint Laurent launched his first collection for the company, the Ligne Trapéze, that year. It was a resounding success the world over and won him a Neiman Marcus Oscar. In 1960, Saint Laurent created his revolutionary "Beat Look" collection which used couture techniques to refine streetstyle. However, his dramatic designs were too much for the house of Dior and a year later they lifted bars on his national service.

When he returned from service in 1962, Saint Laurent set up his own fashion house with Pierre Bergé and continued to rock the establishment. In 1966, he introduced le smoking, his legendary smoking suit, which prompted the consequent androgynous revolution. He is now credited with a range of other innovations including the reefer jacket (1962), the sheer blouse (1966), and the jumpsuit (1968), as well as ready-to-wear culture as a whole.

In October 1998, Yves Saint Laurent showed his last ready-to-wear collection for the Rive Gauche label he had founded more than 30 years before. But, according to a sorrowful spokeswoman, the 61-year old designer was simply too overwrought to take his final bow. US designer Alber Elbaz was hand-picked to succeed him, but found that his career there was swiftly terminated after the Italian fashion Gucci bought full control of the business at the end of 1999 and handed the reins to powerhouse designer Tom Ford. Yves Saint Laurent retained control of the haute couture business and continues to show in Paris each season. These days, the reach of the Saint Laurent empire he founded and sold on is vast: the company produces menswear, furs, jewellery, perfumes and a range of accessories, all of which are distributed worldwide.

During his career, Saint Laurent was arguably the industry's greatest designer. Over the years, he received countless accolades: in 1985, he was made a Chevalier of the Legion of Honour by President François Mitterand; in 1995, he was promoted to the rank of Officer of the Legion of Honour, finally becoming a Commandeur six years later. His status as a national icon was also cemented when, at the final of the 1998 World Cup, near Paris, 300 models presented a retrospective of YSL creations, to celebrate the designer's forty years in fashion, in front of 80,000 football fans and more than 170 international sports channels.

In January 2002, the 65-year-old designer announced his retirement. Paying tribute to his mentors, including Christian Dior, Balenciaga, Schiaparelli and Chanel, he revealed that his decision was based on a disgust with an industry that had become ruled more by commercial gain than art. "I have nothing in common with this new world of fashion, which has been reduced to mere window-dressing," he said. "Elegance and beauty have been banished." The news came just 16 days before he presented his final haute couture collection. In a fitting end to his 40-year career, the show constituted a thorough retrospective of his work: over an hour and a half long, it featured over 250 outfits, 40 of them new designs, and 100 models. A tearful Yves Saint Laurent took his final bow as his long-time muse, Catherine Deneuve, sang Ma Plus Belle Histoire d'Amour.

มันแกวกับฝรั่ง

มันแกว



มันแกว (Jícama) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีชื่อทวินามว่า "Pachyrhizus erosus (L.) Urbar" ลักษณะต้นเป็นเถาเลื้อย หัวอวบใหญ่ โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยมีจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีแดงลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน โดยต้นมันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว


มันแกวเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในหลายพื้นที่เช่นในแถบอเมริกากลาง แอฟริกาตะวันออก และในประเทศแถบทวีปเอเชียคือ ฟิลิปปนส์ อินเดีย จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้เรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจเรียกด้วยชื่ออื่นๆ เช่น "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ"ถั่วกินหัว"

ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เมื่อเคี้ยว รู้สึกกรอบคล้ายลูกสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานสดๆ หรือจิ้มกับพริกเกลือ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิบกรอบ

แต่ในทางกลับกัน ต้นมันแกวสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษ Routinone จะกระตุ้นระบบหายใจ แล้วกดการหายใจ ชัก และอาจเสียชีวิตได้

คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% ไม่มีเส้นใยอาหาร โดยรสหวานนั้นมาจาก oligofructose inulin ซึ่งในร่างกายของมนุษย์ ไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนั้นมันแกวจึงเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ควบคุมน้ำหนัก

มันแกวควรเก็บในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 เดือน

ฝรั่ง



ฝรั่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psidium guajava Linn.) เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ในวงศ์ Myrtaceae ต้นเกลี้ยงมัน กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ยอดอ่อนมีขนสั้นๆ ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปใบรี ปลายใบค่อนข้างมน ดอกเป็นช่อ สีขาว ผลดิบสีเขียว กินได้ เมื่อสุกเป็นสีเหลือง

คำว่าฝรั่งในภาษาอังกฤษคือ Guava ซึ่งมาจากภาษาสเปน คำว่า Guayaba และ ภาษาโปรตุเกส คำว่า Goiaba ฝรั่งมีชื่อพื้นเมืองอื่นๆอีกคือ จุ่มโป่ (สุราษฎร์ธานี) ชมพู่ (ปัตตานี) มะก้วย (เชียงใหม่,เหนือ) มะก้วยกา (เหนือ) มะกา (กลาง,แม่ฮ่องสอน) มะจีน (ตาก) มะมั่น (เหนือ) ยะมูบุเตบันยา (มลายู นราธิวาส) ยะริง (ละว้า เชียงใหม่) ยามุ (ใต้) ย่าหมู (ใต้) และ สีดา (นครพนม,นราธิวาส)

ลักษณะ ทางพฤกษศาสตร์

ฝรั่งเป็นไม้ยืนต้น สูง 3-10 เมตร เปลือกต้นเรียบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีแกมขอบขนาน กว้าง 3-8 ซม. ยาว 6-14 ซม. ดอก เดี่ยวหรือช่อ 2-3 ดอก ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว ร่วงง่าย มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลเป็นผลสด

ด้าน สมุนไพร

  • น้ำต้มใบฝรั่งสด มีฤทธิ์ทางด้านป้องกันลำไส้อักเสบ ท้องเสีย ใช้ทาแก้ผื่นคัน พุพองได้
  • น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง มีฤทธิ์แก้คออักเสบ เสียงแห้ง

    พันธุ์ต่างๆ

  • ฝรั่งเวียดนาม - ลูกใหญ่กว่าฝรั่งพื้นบ้าน ถึง 2 - 3 เท่า ถูกนำเข้าจากเวียดนามมาปลูกที่สามพรานเมื่อ พ.ศ. 2521– 2523
  • ฝรั่งกิมจู - เป็นฝรั่งไร้เมล็ด สีนวลสวย รสหวานกลมกล่อม กรอบ
  • ฝรั่งกลมสาลี่- เป็นพันธ์แรกๆที่นิยมปลูกกันมาก ต่อมามีพันธ์แป้นสีทองเข้ามา จึงปลูกน้อยลงเรื่อยๆ
  • ฝรั่งแป้นสีทอง- ปลูกมากที่สุดในประเทศไทย ผลเมื่อโตเต็มที่จะขาว ฟู กรอบ เริ่มแรกปลูกที่สามพราน ภายหลังได้แพร่กระจายไปทั่ว
  • ฝรั่งไร้เมล็ด - ลักษณะลูกยาวๆ ไม่มีเมล็ด รสชาติด้อยกว่าฝรั่งแป้นสีทอง และกิมจู

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาดูนิสัยลูกคนโต พี่คนกลาง น้องคนเล็ก




บ่อยครั้งที่มักตัดสินลูกๆ ว่า ก็เพราะเขาเป็นลูกคนโต หรือเพราะเป็นน้องเล็กสุดท้อง นิสัยเลยเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้วันนี้ขอนำเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของลูกคนโต คนกลาง และคนเล็ก (โดยส่วนใหญ่) อย่างนั้นก็ลองมาดูสิว่านิสัยของลูกแต่ละคนเป็นอย่างไร

นิสัย ลูกคนเดียว
ข้อดี : เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต มีความรับผิดชอบ
ข้อเสีย : เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเองทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้าง sensitive

นิสัยลูกคนโต
ข้อดี : เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา คนที่เป็นลูกคนโตมักยึดความถูกต้องเป็นหลัก
ข้อ เสีย : มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับเมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเอง บางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึงมักผิดพลาดได้ง่าย เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่นเหมือนกับที่วางใจตัวเอง

นิสัยลูกคนกลาง
ข้อ ดี : เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี และมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุข ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดีและมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขจึงมีแนวโน้มที่จะ เป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี
ข้อเสีย : มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโตและเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอม รับของคนอื่น จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น หรือทำให้คนที่คบรอบข้าง มีความสุขจนเกินขอบเขต หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป

นิสัยลูกคนเล็ก
ข้อ ดี : มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหา เป็นคนเปิดเผย จริงใจ
ข้อเสีย : มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางค่อนข้างเอาแต่ใจ เมื่อคบหากับใคร ช่วงแรกๆ ก็ดูน่าตื่นเต้น น่าสนุกสนาน แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกรา การสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวจึงดูเป็นเรื่อง ยากสักหน่อย

เกี่ยวกับชีวิตคู่

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต : น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่ ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง : จุดอันตรายของคนคู่นี้ อยู่ที่ว่าลูกคนกลางมักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คน แต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต ซึ่งมักชอบวางอำนาจแม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอน อ่อนผ่อนตาม แต่นานๆ เข้าคนที่เป็นลูกคนกลางก็จะรู้สึกแย่ๆ กับตัวเอง และจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กก็จะเป็นคู่ ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว

คู่ที่เป็น ลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง : จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุด เพราะคนที่เป็นลูกคนโตจะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบ ให้กับชีวิตซึ่งช่วยให้แก้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็กก็จะนำความสนุกสนาน ร่าเริง มาให้คนที่เป็นลูกคนโต ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา

คู่ที่เป็นลูกคนกลางทั้งคู่ : คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2 ทางคือหากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโตและอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว แต่ถ้าหากทั้งคู่เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้ แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัยของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไร ออกมา คู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนกลาง กับลูกคนสุดท้อง : ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี แต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริงๆ แล้ว ก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงามกับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนืองๆ และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กแล้วละก็ ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว

คู่ที เป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่ : คนคู่นี้ ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนาน แต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหา เป็นคู่รักที่น่าอิจฉาแต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก



หมายเหตุ : บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง คอยสังเกตนิสัยลูกๆ ว่าเป็นอย่างไรไม่ต้องซีเรียสกับการทายนะ

ที่มา: Dr. Kevin Leman จาก myfirstbrain




ในโอกาสครบ 20 ปี เทรนด์ ไมโคร อิงค์ ธุรกิจจัดการและรักษาความปลอดภัยข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต จัดทำรายงานสรุป 20 อันดับไวรัสที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พร้อมเสนอแนะแนวทางการป้องกันภัยคุกคามข้อมูลไว้


20 อันดับไวรัสที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

1.CREEPER (1971) โปรแกรมหนอนอินเตอร์เน็ตตัวแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ TOPS TEN

2.ELK CLONER (1985) ไวรัสคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรกที่เกิดกับ Apple IIe เป็นผลงานของเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษา (เกรด 9)

3.THE INTERNET WORM (1985) เขียนโดยบุคลากรในมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ซึ่งมีผลต่อการใช้งานอินเตอร์เน็ต

4.PAKISTANI BRAIN (1988) ไวรัสตัวแรกที่ติดกับคอมพิวเตอร์พีซีไอบีเอ็ม เขียนโดยสองพี่น้องจากปากีสถาน ถือเป็นไวรัสตัวแรกที่สื่อให้ความสนใจอย่างแพร่หลาย

5.JERUSALEM FAMILY (1990) มีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันประมาณ 50 สายพันธุ์ เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากมหาวิทยาลัยเยรูซาเล็ม

6.STONED (1989) ไวรัสที่แพร่ระบาดหนักที่สุดช่วงสิบปีแรก ติดเชื้อในส่วนบูตระบบ /.mbr ส่งผลให้รีบูตระบบหลายครั้งและยังแสดงข้อความว่า "your computer is now stoned"

7.DARK AVENGER MUTATION ENGINE (1990) เขียนเมื่อปี 1988 แต่นำไปใช้ครั้งแรกต้นปี 1990 เช่นเดียวกับไวรัส POGUE และ COFFEESHOP กลไกการกลายพันธุ์ได้หลากหลายรูปแบบของไวรัสตัวนี้ ทำให้ไวรัสสามารถทำงานได้ตลอดเวลา

8.MICHEANGELO (1992) สายพันธุ์หนึ่งของ STONED ความสามารถทำลายล้างสูง โดยวันที่ 6 มีนาคม ไวรัสตัวนี้จะลบ 100 เซ็คเตอร์แรกของฮาร์ดไดรฟ์ให้ใช้งานไม่ได้

9.WORLD CONCEPT (1995) ไวรัส Microsoft Word Macro ตัวแรกที่แพร่กระจายสู่โลกภายนอก โดยมีการแอบใส่ข้อความไว้ว่า "That"s enough to prove my point" ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ในยุคที่สองของไวรัสคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากแฮกเกอร์ซึ่งมีทักษะน้อยมาก

10.CIH/CHERNOBYL (1998) ไวรัส Chernobyl เป็นไวรัสทำลายล้างมากที่สุดเท่าที่เคยพบ เริ่มปฏิบัติการทำลายล้างโดยอาศัยเงื่อนไข คือ เมื่อปฏิทินในเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงกับวันที่ 26 ในทุกๆ เดือน สามารถทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ และทำลายข้อมูลการบูตที่เก็บอยู่ในไบออส โดยแฟลชไบออสด้วยข้อมูลขยะส่งผลให้ข้อมูลต่างๆ ที่เคยแสดงตอนบูตเครื่องกลายเป็นหน้าว่างๆ และไม่สามารถเรียกขึ้นมาใช้งานได้อีกต่อไป

11.MELISSA (1999) ไวรัสสำคัญตัวแรกที่แพร่ระบาดผ่านอี-เมล และเป็นการเริ่มต้นของยุคไวรัสอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง แม้ Melissa ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการทำลาย แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ใช้เนื่องจากจะทำให้กล่องรับอี-เมลเต็มในทุก ที่ที่เกิดการติดเชื้อ

12.LOVEBUG (2001) หนอนอี-เมลที่ได้รับความนิยมสูงสุด เป็นรูปแบบของการใช้ชุมชนเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์

13.Code RED (2001) ตั้งชื่อตามเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงที่ได้รับความนิยม ไวรัสเครือข่ายตัวนี้จะอาศัยอยู่ในคอมพิวเตอร์ที่มีช่องโหว่ความปลอดภัย และทำการแพร่ระบาดด้วยตัวเอง

14.NIMDA (2001) เรียกกันว่า "Swiss Army Knife" หรือมีดอเนกประสงค์ของไวรัส ซึ่งจะใช้หลายวิธีในการเข้าสู่เครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำล้นอี-เมล การใช้เครือข่ายร่วมกัน และวิธีการอื่นๆ อีกเป็นสิบวิธี

15.BAGEL/NETSKY (2004) เป็นไวรัสที่ออกแบบมาโดยมีความสามารถเทียบเคียงกัน และต่อสู้กันเอง แต่ละตัวสร้างสายพันธุ์ออกมาอีกนับร้อยสายพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จในการแพร่ระบาดอย่างมาก หนอนทั้งสองตัวนี้ติดอยู่ในกระแสข่าวตลอดทั้งปี

16.BOTNETS (2004) นักรบซอมบี้ในโลกอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ช่วยงานอาชญากรไซเบอร์ด้วยการสะสม กำลังพลคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้ออย่างไม่มีวันสิ้นสุด โดยอาชญากรไซเบอร์จะสามารถกำหนดค่าใหม่ให้กับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ เพื่อให้ส่งต่อสแปม เพิ่มเหยื่อติดเชื้อ และขโมยข้อมูล

17.ZOTOB (2005) หนอนตัวนี้มีผลเฉพาะกับระบบ Windows 2000 ที่ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซม แต่ความสามารถที่โดดเด่น เข้าควบคุมไซต์ของสื่อรายใหญ่หลายแห่ง รวมทั้งซีเอ็นเอ็น และนิวยอร์ก ไทม์ส ด้วย

18.ROOTKITS (2005) หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกของโค้ดที่เป็นอันตราย ซึ่งถูกใช้เพื่อทำให้มัลแวร์อื่นสามารถซ่อนตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้ โดยมัลแวร์ที่ซ่อนตัวอยู่จะทำงานที่เป็นอันตรายอย่างลับๆ

19.STORM WORM (2007) ไวรัสลวงที่ที่เกิดขึ้นซ้ำนับพันๆ ครั้ง และในท้ายที่สุดก็จะสร้างบ็อตเน็ตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเชื่อว่ามีคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อในเวลาเดียวกันมากกว่า 15 ล้านเครื่อง และอยู่ภายใต้การควบคุมของอาชญกรใต้ดิน

20.ITALIAN JOB (2007) ไม่ใช่มัลแวร์ที่ใช้เครื่องมือเดี่ยวๆ แต่เป็นการโจมตีร่วมกันโดยใช้ชุดเครื่องมือที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าหรือ รู้จักว่า MPACK เพื่อสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่เพื่อการขโมยข้อมูลขึ้นมา และมีเว็บไซต์กว่าหมื่นแห่งตกเป็นเหยื่อ

วิธีป้องกันภัยคุกคามข้อมูล

๏ เปิดใช้งานและปรับปรุงซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยให้ทันสมัยเสมอ โดยเฉพาะถ้าใช้งานแล็ปท็อปที่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่มีการป้องกัน ใดๆ ในบริเวณสนามบิน ร้านกาแฟ และสถานที่ต่างๆ

๏ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ป้องกันภัยบนเว็บครอบคลุมการป้องกันอี-เมล และแอพพลิเคชั่นการประมวลผลที่ใช้ทั้งหมด และสามารถแจ้งเตือนเกี่ยวกับปริมาณการส่งผ่านข้อมูลทั้งเข้าและออกจาก คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานในเวลาจริง

๏ ปรับใช้เทคโนโลยีล่าสุด เช่น การป้องกันโดยเทคโนโลยีการตรวจสอบชื่อเสียง และประวัติเว็บไซต์ (Web Reputation) ซึ่งสามารถวัดระดับความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ก่อนที่คุณจะเข้าเยี่ยมชมได้ ควรใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบประวัติเว็บร่วมกับเทคโนโลยีการกรองยูอาร์แอล และการสแกนเนื้อหา

๏ ถ้าผู้ใช้งานใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows ให้เปิดใช้งาน Automatic Update และติดตั้งโปรแกรมปรับปรุงใหม่ๆ ทันทีที่พร้อมใช้งาน




การสะอึกเป็นสภาวะที่ร่างกายทำงานผิดปกติต่างหาก เนื่องจากกะบังลมซึ่งเป็นแผ่นกล้ามเนื้อและเนื้อพังผืดกั้นระหว่างช่องท้อง กับช่องอกยืด-หดตัวไม่สม่ำเสมอ


นอกจากนี้ สาเหตุของการสะอึก อาจเกิดได้จาก มีสิ่งแปลกปลอมไปรบกวนเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม, ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปดันกะบังลม, กลืนอาหารหรือน้ำจำนวนมากจนไหลลงกระเพาะไม่ทัน ทำให้หลอดอาหารตอนปลายขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกระบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เป็นต้น

ส่ง ผลให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด
การบีบรัดตัวของกระบังลมทำให้ แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปรกติคอยกั้นไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิด ลง เมื่อกระบังลมหดอย่างแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียง (เส้นเอ็น 2 เส้น) สั่นสะเทือน จึงเกิดเสียงอึ๊กๆ อย่างที่ได้ยินเวลาสะอึก ซึ่งอาการสะอึกอาจเกิดขึ้นได้นาทีละหลายครั้ง และสะอึกต่อเนื่องกันได้หลายชั่งโมง จนคนสะอึกเหนื่อย

แต่ใช่ว่าไม่มีวิธีแก้ ซึ่งก็มีหลายวิธี เช่น หายใจลึกๆ กลั้นหายใจ หายใจในถุงกระดาษสัก 3-5 นาที ดื่มน้ำแก้วโตพร้อมกับกลั้นหายใจ หาสิ่งใดแยงจมูกให้จาม ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าแล้วใช้มือลูบหลังเบาๆ ให้เรอ

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาเตรียมตัวอ่านหนังสือก่อนสอบกันเถอะ!!






10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยง
คืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะ***

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง

4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้

5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)


...เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงน่ะให้จำง่ายๆ...

1. เพื่อนๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลย ดูซิว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีต เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะ

2.แยกหมวด หมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ

3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ

5.เริ่ม อ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยครับ ตรงนี้แหละสำคัญมาก เพื่อนๆอย่าอ่าน ๆๆๆ แล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆ ต่อให้เพื่อนๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอก อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ เพื่อนๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง

6.นั้นไง ๆ บอกไปตะกี้เองนะครับว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ! เพื่อนๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4 หายไป ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนสังเกตเห็นก่อนที่เฉลย ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละ เก่งมาก ๆ เลย ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่บอกไว้ใน ข้อที่ 5 นะ

7. ต่อครับ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะ ถ้าเพื่อนๆ อ่าน ๆๆๆ หนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากเพื่อนๆ จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยนะ...อย่าทรมาณตัวเองละ

8.ในการอ่านหนังสือ เพื่อนๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะ แล้วเมื่อเพื่อนๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะครับ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้เพื่อนๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่น พักสายตาโดยการหาเพลงเพราะ ๆ ฟัง(เลือกเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วย ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะ แต่อย่าพักจนเพลินล่ะ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือ ต่อเลย (ทนเอาหน่อยนะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)

9.รู้นะว่าเพื่อน ๆ ต้องเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้วล่ะ คงคิดใช่มั้ยล่ะ ว่าจะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ! ดีแล้วถ้าเพื่อนๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ

10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ! ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อน ๆ คนอื่นๆเกือบทุกคนละ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสติ ตรงนี้สำคัญมาก ๆ เลย ให้เพื่อนหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อน แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้เพื่อนๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้ว่าในการอ่านรอบแรกผมให้เพื่อนๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่า น่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่เพื่อน ๆ จำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยครับ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละ)

11.อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิตหน่อยสิ เพื่อนๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อย มีปัญหาเลยก็ดีไปครับ ส่วนเพื่อนๆคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อยค ก็อย่าลืมดูแลตัวเอง หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะ เพราะเดี๋ยวเพื่อนๆอาจป่วยได้นะ แล้วไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืน ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่า ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่า

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจช่วยให้น่ะค้า ^___^/



วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

น้ำร้อนลวกช้อน อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค




เคย เห็นหม้อลวกช้อนที่ใช้สำหรับลวกช้อนตามฟู้ดเซ็นเตอร์ต่าง ๆ บ้างรึเปล่า

จริง ๆ แล้ววิธีนี้เป็นมาตรการที่เอาไว้ใช้กำจัดเชื้อโรคที่ตกค้างในช้อน เพื่อความถูกสุขลักษณะในการทานอาหาร แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจไปค่ะ เพราะถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนน้ำในหม้อลวกทุกชั่วโมง น้ำในหม้อก็จะกลายเป็นแหล่งรวมสารพัดเชื้อโรคดี ๆ นี่เอง อีกอย่างถ้าน้ำในหม้อไม่เดือด เชื้อโรคก็ไม่มีทางตายไปได้หรอก

ดังนั้น ทุกครั้งก่อนที่จะนำช้อนไปลวก ก็ควรสังเกตดูน้ำในหม้อว่าเดือดหรือไม่ แล้วก็จะควรจะแช่ช้อนไว้สักพักหนึ่งพอสมควร ที่สำคัญหากมีป้ายบอกว่าเปลี่ยนน้ำทุก ๆ กี่ชั่วโมงก็จะเป็นการดีมากขึ้นทีเดียว

เชื้อโรคมีอยู่รอบตัวเรา ทางที่ดีก็อย่าลืมใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวคุณเอง..

++++++




ทำไมเรียกละครน้ำเน่าว่า "Soap Opera"

ละครละครน้ำเน่า หรือ soap opera
นั้นก็คือ ละครที่เผยแพร่ทางวิทยุและโทรทัศน์
ซึ่งชาวต่าง ชาติใช้คำว่า soap opera มายาวนาน

จนปัจจุบันเพียงแค่ผู้ชมเรียกว่า soap ก็เป็นอันเข้าใจกัน
(ในบริบทเกี่ยวกับละคร แต่ธรรมดาแล้ว soap ก็คือสบู่ทั่วไป)
โดยสิ่งที่ทำให้ละครแนว soap opera ต่างจากละครโดยทั่วไป
ก็คือ soap opera จะเป็นละครที่เน้นเรื่องของอารมณ์
การ บีบคั้นความรู้สึกเป็นอย่างมาก (Melodrama)

ส่วนจุดเริ่มต้นของคำคำนี้นั้นเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ 1930
เนื่องจากละครทางวิทยุในช่วงนั้น มักจะออกอากาศในตอนกลางวัน
(ซึ่งเรียกได้อีกชื่อว่า daytime serial drama)
ด้วยเหตุนี้โฆษณาที่ออกอากาศในช่วงนี้
จึงมักจะเป็นสินค้าที่ มีกลุ่มแม่บ้าน เป็นเป้าหมาย
โดยจะเป็นพวกของใช้สำหรับการรีดผ้าซักผ้า รวมไปถึงสบู่

จนผู้ฟังต่างชินว่าถ้ามีละครก็จะมีโฆษณาพวกสบู่
ของใช้ต่างๆ เหล่านี้มาพร้อม กัน
ทำให้คำว่า soap opera ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยละครน้ำเน่าทางวิทยุนั้น เริ่มในนครชิคาโกเมื่อปี 1930
ซึ่งทาง WGN ได้นำเสนอเรื่อง Painted Dreams
ซึ่งเป็นเรื่องชีวิตความยากลำบากของแม่บ้านชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช
และลูกสาวของเธอ
โดย จะออกอากาศตอนละ 15 นาทีเท่านั้น

จากนั้น เมื่อถึงช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2
ปรากฏว่ามีละครน้ำเน่าทาง วิทยุหลายเรื่อง
ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ในส่วนของโทรทัศน์ นั้น ละคร soap opera ได้เริ่มออกอากาศที่สหรัฐฯ
เมื่อปี 1946 คือเรื่อง Faraway Hill ซึ่งออกอากาศในช่อง DuMont
ก่อนที่ละครแนว soap opera จะเข้าสู่ระบบโทรทัศน์เน็ตเวิร์ก
ในปี 1949 ทางช่อง NBC

ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันละคร soap opera
ยังคงได้รับการสนับสนุนจากบริษัทอย่าง Procter & Gamble
ที่ผลิตสินค้าประเภท สบู่ ยาสระผม อยู่ก็ตาม



แต่ จากการที่ปัจจุบันละคร soap opera
ได้ดึงดูดผู้ชมในหลายๆกลุ่มมากขึ้น
เช่น กลุ่มวัยรุ่น ทำให้โฆษณาสินค้าในละคร soap opera นั้น
มีทั้งที่เป็นยา รักษาสิว ยาคุมกำเนิด และผลิตภัณฑ์อื่นๆด้วย
ไม่ได้เป็นเพียงสินค้า เครื่องใช้สำหรับแม่บ้านเพียงอย่างเดียว

++++

การผ่าฟันคุด


การผ่าตัดฟันคุดมีจุดประสงค์หลายประการ ได้แก่

1. เพื่อป้องกันอาการปวด เพราะตัวฟันคุดเองมีแรงผลักเพื่อจะงอกขึ้นมาในขากรรไกร แต่ถูกกันหรือติดโดยฟันข้างเคียง ทำให้มีแรงย้อนกลับไปกดที่เส้นประสาทของขากรรไกร อาการปวดมีตั้งแต่ทนได้จนกระทั่งปวดมาก ในบางครั้งอาจมีอาการปวดแบบส่งต่อหลังจากตำแหน่งฟันคุดไปยังบริเวณอื่นของใบ หน้า เช่น ปวดหน้าหู ปวดตา ปวดศีรษะ เป็นต้น

2. เพื่อป้องกันการอักเสบของเหงือกที่ปกคลุมฟัน เพราะจะมีเศษอาหารเข้าไปติดอยู่ใต้เหงือก แล้วไม่สามารถทำความสะอาดได้ เชื้อแบคทีเรียที่มาสะสมอยู่จะทำให้เหงือกอักเสบ ปวดและบวมเป็นหนอง ถ้าทิ้งไว้การอักเสบจะลุกลามไปใต้คางหรือใต้ลิ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ง่ายนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

3. เพื่อป้องกันฟันข้างเคียงผุ ซอกฟันระหว่างฟันคุดกับ ฟันกรามซี่ที่สองที่อยู่ชิดกันนั้น ทำความสะอาดได้ยาก เศษอาหารจะติดค้างอยู่ทำให้เกิดฟันผุได้ทั้งสองซี่

4. เพื่อป้องกันการละลายตัวของกระดูก แรงดันจากฟันคุดที่ พยายามดันขึ้นมา จะทำให้กระดูกรอบรากฟันหรือรากฟันข้างเคียงถูกทำลายไป

5. เพื่อป้องกันการเกิดถุงน้ำหรือเนื้องอก ฟันคุดที่ทิ้งไว้นาน เนื้อเยื่อที่หุ้มรอบฟันคุด อาจจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นถุงน้ำ แล้วโตขึ้นโดยไม่แสดงอาการเลย จนในที่สุดเกิดการทำลายฟันซี่ข้างเคียง และกระดูกรอบๆ บริเวณนั้น หากไม่เคยได้รับการตรวจฟัน มักจะรู้ตัวอีกทีเมื่อเห็นใบหน้าเอียงหรือขากรรไกรข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง ซึ่งถ้าพบและรีบทำการผ่าตัดออกได้เร็ว การสูญเสียอวัยวะ ขากรรไกรก็น้อย ยังสามารถรักษารูปหน้าให้เหมือนเดิมได้ แต่ถ้าถุงน้ำหรือเนื้องอกมีขนาดใหญ่มากๆ ก็อาจต้องตัดขากรรไกรบางส่วนออก การรักษารูปใบหน้าให้เหมือนเดิมก็ทำได้ยากขึ้น

6. เพื่อป้องกันกระดูกขากรรไกรหัก เนื่องจากการที่มีฟันคุดฝังอยู่จะทำให้กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นบางกว่า ตำแหน่งอื่นเกิดเป็นจุดอ่อน เมื่อได้รับอุบัติเหตุหรือกระทบกระแทก กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นก็จะหักได้ง่าย
7. วัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น ในการจัดฟัน มักต้องถอนฟันกรามซี่ที่สามออกเสียก่อนเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนฟันซี่ อื่นๆ และแรงดันของฟันคุด ยังมากพอที่จะผลักให้ฟันข้างเคียงรับแรงกระทบต่อๆ กันไปจนฟันบิดซ้อนเกได้ ในการจัดฟันทันตแพทย์จึงมักแนะนำให้ถอนฟันคุดออกก่อนใส่เครื่องมือ จะเห็นได้ว่าการเก็บฟันคุดไม่มีผลดีเลย ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่เกิดอันตรายกับสุขภาพปากของคนเราหลายด้าน จึงควรผ่าเอาออก... ผลดีมีมากกว่าจริงๆ ค่ะ

++++++


สุดยอดอาหารเด็ดในเมือง อัมสเตอร์ดัมBest Restaurant Architecture
(ร้านอาหารที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยสุด)

เด็กดีดอทคอม :: สุดยอด 4 ร้านอาหารชื่อดังในเนเธอร์แลนด์

De Waag เป็นร้านอาหารที่มีการก่อสร้างที่สวยงาม ตั้งอยู่ใจกลางของย่าน Nieuwmarkt เรียกได้ว่าถ้านึกถึงย่าน Nieuwmarkt เมื่อไหร่ คนส่วนมากจะต้องนึกถึงร้าน De Waag เป็นอันดับแรก โดยตึกบริเวณนี้ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1488 และเป็นรั้วกำแพงเมืองอัมสเตอร์ดัมเมื่อในอดีตก่อน จนในปี 1600 ได้ถูกทำลายและถูกปรับเปลี่ยนเป็นบ้านและกลายเป็นร้านอาหารในปัจจุบัน อาหารที่ขึ้นชื่อได้แก่พวกซุป แซนด์วิช สลัด และสเต๊ก

Best Bakery (ร้านเบเกอรี่ที่ดีที่สุด)

เด็กดีดอทคอม :: สุดยอด 4 ร้านอาหารชื่อดังในเนเธอร์แลนด์

De Bakkerswinkel เป็นร้านเบเกอรี่ที่มีหลายสาขา แต่สาขาที่ดังที่สุดตั้งอยู่บริเวณย่าน Red Light District ใกล้กับสถานีรถไฟใจกลางเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งจัดร้านในบรรยากาศเป็นร้านน้ำชาเล็กๆ น่ารักๆ ร้าน De Bakkerswinkel นี้มีขนมปังสโคน น้ำชา และแซนด์วิชที่ขึ้นชื่อมาก นอกจากนี้ยังสามารถสั่งกลับไปทานที่บ้านและในร้านก็ยังมีแยมชนิดโฮมเมดขายอีกด้วย

++++

7 เรื่อง(ต้อง)รู้ไว้ ก่อนไป อิตาลี



1. ที่ประเทศอิตาลีมีร้านอาหารต่างชาติน้อยมาก ยกเว้น 'เคบับ' ซึ่งเป็นอาหารตุรกีที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในยุโรป

2. ที่ประเทศอิตาลี มีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้น้อยมากๆ แม้กระทั่งนายท่ารถไฟ พนักงานขายตั๋ว พนักงานขายเสื้อผ้า ส่วนมากก็สื่อสารภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย

3. ร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ ในยุโรปมักปิดตอนกลางวันกันประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ที่อิตาลีจะปิดกันตั้งแต่ประมาณเที่ยงจนถึงประมาณเกือบสี่โมงเย็นเลยที เดียว จากนั้นจึงจะเปิดอีกทีในช่วงเย็นๆ

เด็กดีดอทคอม :: 7 เรื่อง(ต้อง)รู้ไว้ ก่อนไป อิตาลี

4. ที่ประเทศอิตาลี ในร้านหรือบาร์กาแฟบางที่ เรามักจะพบคนยืนดื่มกาแฟกันแทนที่จะนั่ง สาเหตุก็เพราะว่าร้านหรือบาร์กาแฟเหล่านั้นคิดค่าที่นั่งด้วย ราคาก็อยู่ที่ 1-3 ยูโร ดังนั้นคนจึงนิยมยืนดื่มกาแฟกันมากกว่า

5. คนอิตาเลียนมักจะภูมิใจในถิ่นฐานของตัวเองมาก (หมายถึงเมืองหรือภูมิภาค) ดังนั้นถ้าเราไปถามว่ามาจากไหน คนอิตาเลียนส่วนมากจะไม่ค่อยบอกว่ามาจากอิตาลี แต่จะบอกชื่อเมืองก่อน เช่น โรม เวนิซ ฟลอเรนซ์ ปอมเปอี เป็นต้น

6. ที่ประเทศอิตาลี ไม่มีร้านกาแฟยี่ห้อ starbuck เพราะคนอิตาเลียนนิยมดื่มกาแฟแบบเข้มๆ แบบเพียวๆ ที่ต้มดื่มกันเอง รวมถึงปกติแล้วคนอิตาเลียนยังนิยมร้านกาแฟแบรนด์ของอิตาลีเองอีกด้วย


7. และข้อสุดท้าย ผู้ชายอิตาลีหล่อติดอันดับโลก เพราะผู้ชายอิตาลีส่วนมากนั้น หน้าตาจะเป็นโทนฝรั่งผสมแขกขาวนั่นเอง แถมบางคนผมยังเป็นลอนอีกนิดหน่อย อู้ววว หล่อจริงๆ ฮ่าๆๆ

เด็กดีดอทคอม :: 7 เรื่อง(ต้อง)รู้ไว้ ก่อนไป อิตาลี







วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เผยผู้หญิงเพิ่มการเสพติดเฟซบุ๊คมากขึ้น


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวัน ที่ 9 ก.ค.ว่า ผลการวิจัยจากหน่วยงานออกซิเจน"มีเดีย แอนด์ ไลท์สปีด"ระบุว่า

ผู้หญิงสหรัฐเพิ่มการเสพติดเครือ ข่ายชุมชนออนไลน์"เฟซบุ๊ค"มากขึ้น โดยจากการสำรวยกระทำระหว่างเดือนพ.ค.-มิ.ย.2010 พบว่า ผู้หญิง 1 ใน 3 ที่มีอายุ 18-34 ปี ได้ตื่นมาเปิดเฟซบุ๊ค ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ 21 % ของผู้หญิงวัยเดียวกัน ยังนิยมเช็คเฟซบุ๊คในตอนกลางคืน ขณะที่ 42 % รู้สึกชอบใจที่ได้เห็นรูปตัวเองเมาเพราะการดื่ม และ 79 % รู้สึกชอบที่ได้เห็นผู้คนจูบกันในเฟซบุ๊ค,50 % นิยมติดตามเรื่องราวของเพื่อนสมาชิกคนอื่น และ 50 % รู้สึกชอบที่ได้เห็นเพื่อนทางเฟซบุ๊คอยู่กับคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่รู้จัก

ผล สำรวจยังระบุว่า ผู้ชาย 60 % ต่างชอบใช้เฟซบุ๊คในการนัดเดทกับผู้คนที่พวกเขาพบในเฟซบุ๊ค

ส่วนผู้หญิง 50 คน ก็มีพฤติกรรมทำนองนี้ นอกจากนี้ผู้ชาย 24 % ยังใช้เฟซบุ๊คประกาศตัดสัมพันธ์กับคู่รัก ส่วนผู้หญิงคิดเป็น 9 % .ในขณะที่ ผู้หญิง 49 % เชื่อว่าเป็นการดีที่จะใช้เฟซบุ๊คติดตามพฤติกรรมของคู่รัก ส่วนผู้ชายมีพฤติกรรมทำนองนี้น้อยกว่า หรือคิดเป็น 42 %

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน


7 มารยาทที่คุณห้ามทำในต่างประเทศ ไม่งั้นคุณอาจตายได้


ถ้าคุณมีโอกาสได้ไป เที่ยวต่างประเทศในวันหยุด บางทีคุณอาจจำเป็นต้องเรียนสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำจากวัฒนธรรมประเทศนั้นๆ ด้วย ไม่งั้นคุณอาจตายโดยไม่รู้ตัว เพราะดูหมิ่นเขาอย่างสุภาษิตไทยที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม และวันนี้เรามาเรียนรู้กริยามารยาทที่ห้ามทำในต่างประเทศนั้นๆ ดีกว่า หลายประเทศมีวัฒนธรรมและความเชื่อในแบบของเขา มายาทบางอย่างของเรามีความหมายอีกอย่าง แต่บ้านเขาความหมายไปโน้นเลย เราไม่ได้ตั้งใจลบหลู่เขานะ อื้อๆ............ ถ้าคุณไม่เชื่อละก็คุณลองทำกริยาพวกนี้ในประเทศนั้นๆ ดูเถอะนะ จะได้รู้ว่าเรื่องที่ผมพูดจริงหรือไม่!!



อันดับ 7 ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก (Extend Your Hand, Palm Outward in Greece)


สากล:พอแล้วครับอิ่มแล้วครับ (เป็นภาษากายประมาณว่าผมไม่เอา)


กรี ก: "นี่นายว่าหน้าฉันมีอุจจาระเรอะ!!"


ในประเทศกรีกการแสดงอากัปกิริยาโดยทำแผ่ฝ่ามือแบบนี้ต่อหน้าชาวกรีกนั้น ถือว่าเป็นการดูถูกพวกเขาครับ มันที่มาคือ ในสมัยอาณาจักรไบเวนไทน์ Byzantine เมื่อใดที่อาชญากรทำผิดอาญาเขาจะจับคนนั้นขังบนกรงและแห่เป็นขบวนพาเหรดบน หลังม้าตามท้องถนน และผู้คุมจะสีดำลงในหน้าของนักโทษเพื่อประจาน ถือว่าอับอายมากๆ ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นคุณทำมือแบบนี้ละก็ ชาวกรีกจะนึกว่าคุณกำลังดูถูกพวกเขาอย่างมากๆ เพราะคุณเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษที่น่าอับอายนี้เอง




อันดับ 6 ห้ามยกนิ้วโป้งที่ประเทศตะวันออกกลาง (Give the Thumbs-Up In The Middle East)


สากล: "กู๊ด มันยอดเยี่ยม"

ตะวัน ออกกลาง: "เดี๋ยวฉันจะเอานิ้วโป้งนายยัดรูตูดเอ็ง"

มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่ยกหัวนิ้วโป้งในตะวันออกกลางนี้ แม้ว่ายกนิ้วโป้งจะเป็นการแสดงอากิริยาสากลก็เถอะ เราไม่รู้ที่มาการห้ามนี้มาจากที่ใด แต่สัญลักษณ์การยกนิ้วหัวแม่มือนั้นเป็นสัญญาณที่เคยมากว่าพันปีมาแล้วใน สมัยโรมัน การต่อสู้ในสังเวียนเลือด(โคโลเซียมหรือเวทีประลอง) พวกนักต่อสู้(ซึ่งเป็นทาส คนผิวดำ ยิว)ที่แพ้ในเวทีจะถูกตัดสินโดยเจ้าภาพว่าจะอยู่หรือตาย โดยถ้าเจ้าภาพจะทำมือเอานิ้วหัวแม่มือขึ้น-ลง ถ้ายกนิ้วโป้งขึ้นจะรอด แต่ถ้ายกหัวนิ้วมือลงนักสู้คนนั้นจะโดนฆ่า และแหล่งกำเนิดนี้ถูกนำไปเผยแพร่รอบๆ อาณานิคมของโรมในที่สุด ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นจริงความหมายดั้งเดิมของมันคงจะเป็น "อย่าฆ่านักโทษนะเว้ย เพราะตรูเป็นเจ้าชีวิตของพวกมัน"




อันดับ 5 มารยาทอาหารในไทย/ฟิลิปปินส์/จีน (Finish Your Meal In Thailand / The Philippines / China)


สากล:นี้เป็นอาหารอร่อย แต่ตอนนี้กระเพาะผมจุไม่ได้แล้วครับ ขออภัยด้วยที่กินเหลือ

เอเชีย: มองด้วยสายตาไม่พอใจ......


ใน ประเทศจีน ถ้าคุณกินหมดจนคำสุดท้าย มันแปลว่าเขาให้อาหารคุณไม่พอกิน เพราะงั้น ไม่ว่าอาหารนั้นจะอร่อยแค่ไหน คุณก็ต้องกินเหลือไว้อย่างน้อยคำหนึ่งเสมอ และในจีน ถ้าคุณกินไปคุยไป (คุยในขณะที่อาหารเต็มปาก) และถึงกับเรอเมื่ออิ่มนั้น เป็นมารยาทดีสุด ๆ (เพราะแปลว่าอาหารอร่อยมาก และคุณอิ่มแล้ว) และเขาก็เล่นมุขด้วยว่าแต่อย่าเผลอตดแถมให้ด้วยล่ะ (เพราะอันนั้นเป็นมารยาทที่ไม่ดีในทุกสังคม)



อันดับ 4 ห้ามพบปะสนทนากับเพศตรงข้ามในซาอุดิอาระเบียโดยเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น (Say "Hi" to a Member of the Opposite Sex in Saudi Arabia)


สากล: "สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"

ซาอุฯ: "สวัสดี ตอนนี้คุณมีความผิดฐานร่วมประเวณีผิดศิลธรรมของประเทศเราแล้วละ ชื่อของคุณจะอยู่แฟ้มประวัติอาชญากรรมแน่นอน"

ซาอุดิอาระเบียมี กฎหมายที่เคร่งศาสนาเพื่อป้องกันการผิดศีลธรรมต่างๆ นาๆ คุณอาจเห็นกฎหมายห้ามชายและหญิงมีชู้, ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว(มันก็ดีนี้น่า) แต่ถ้าใครละเมิดอาจจะได้รับบทลงโทษที่แสนรุนแรงตามมาแน่นอน หนึ่งในนั้นก็มีกฎหมายห้ามผู้หญิง(รวมถึงผู้หญิงต่างชาติ)จับมือทักทาย ผู้ชายต่อหน้าสาธารณชนหรือสมาคม และผู้ชายใดๆ ที่ไม่ใช้สามีของเธอโดยปราศจากผู้ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ผู้หญิงสหรัฐคนหนึ่งที่ติดต่องานโดยสนทนาและจับมือกับผู้ชายในStarbucks และถูกการจับกุมและถึงขั้นขึ้นศาล




อันดับ 3 ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย (Give an Even Number of Flowers in Russia)

สากล: "ฉันชอบเสน่ห์ของเธอเหลือเกิน มันเลยขอมอบดอกไม้ให้แทนความรู้สึกของเรา

รัสเซีย: "ตาย! ตาย! ตาย! อ๊าคคคคคคคคคคคค"

ในรัสเซียดอกไม้จำนวนเลขคู่นั้นใช้ในงานศพเท่านั้นนะครับ และแน่นอนเกิดขึ้นเอาดอกไม้จำนวนคู่เป็นของขวัญให้คนรัสเซียละก็มีหวังได้ เห็นหมัดแน่นอน เพราะมันเหมือนกับเราแช่งให้เขาตายเร็วๆ เวลาจะให้ดอกไม้แก่คนรัสเซียควรให้ดอกไม้เลขคี่ดีกว่าและคนรัสเซียก็ไม่ให้ ความสำคัญแก่สีของดอกไม้มากนัก

พูด ถึงรัสเซีย รัสเซียนี้มีประวัติวัฒนธรรมประเพณีที่ยาวนาน ถ้าเราศึกษาดีๆ จะพบข้อที่ห้ามทำนรัสเซียอยู่เยอะ เช่น ไม่ควรจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน,ห้ามปฏิเสธการดื่มอวย พร,เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกเป็นให้เจ้าภาพด้วย เป็นต้น





อันดับ 2 ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้ายข้างเดี่ยวในบางประเทศ ( Give a Gift With Your Left Hand, Pretty Much Anywhere)


สากล: ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอสวยมาก ฉันขอมอบของขวัญให้แก่ลูกสาวของคุณ เพราะฉันรักคุณ (ส่งด้วยมือซ้าย)


บางประเทศ: (อีกฝ่ายคิด)ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอไร้ค่ามาก เหมือนอาเจียนของสุนัขที่ฉันไปเจอมา ฉันขอมอบของขวัญนี้ให้ เพราะฉันเกลียดคุณ


ในบางประเทศถือได้ว่ามือซ้ายเป็นมือที่สกปรก โสโครก เพราะเรามักใช้มือซ้ายจับได้สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง เช่นเรามักใช่มือซ้ายในการชำระล้างสิ่งปฏิกูลเวลาเข้าส้วม(สำหรับคนถนัดขวา นะ,ลูบหน้า,นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรมในบางประเทศเชื่อว่าคนถนัดซ้ายคือสมุน ของซาตาน ส่วนคนถนัดขวาคือมนุษย์ ซึ่งในหลายประเทศที่ห้ามส่งของขวัญด้วยมือซ้ายก็มี อินเดีย,แอฟริกา, ศรีลังกา,ประเทศตะวันออกกลาง

พูดถึงการให้ของ ขวัญแก่คนต่างประเทศนี้ก็มีข้อความรู้อีกเยอะ เช่น อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน, อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศ ซึ่งมันอาจเป็นมารยาทเล็กๆ ที่คุณอาจต้องรู้ไว้เวลาจะถูกมิตรกับคนต่างชาติ เพราะคนต่างชาติไม่มองคุณเป็นคนขี่ม้าที่สี่ของบันทึกทางศาสนาของยิวแน่ นอน(กษัตริย์ทั้งสี่ในศาสนาคริสต์ที่มอบของขวัญแก่พระเยซูคริสต์ในช่วง ประสูติ)





อันดับ 1 ห้าม "OK" ที่บราซิล (Give the "OK" Sign in Brazil)


สากล:ตกลง!! โอเค

บราซิล:ฮา ยบราซิล!! ฉันคือ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ของ USA ฉันกำลังจะไปแตะผ่าหมากคุณแล้ว

บราซิล คือดินแดนแห่งสาวสวย หาดทรายขาว และวัฒนธรรมเปิดกว้างเป็นมิตร แต่ถ้าคุณทำมือโอเคแก่ชาวบราซิลละก็ จากมิตรจะกลายเป็นศัตรูทันใด!!

ในบราซิลการทำมือ โอเคหรือตกลงนั้นไม่ควรนำมาใช้อย่างยิ่งเพราะการทำมือ "ตกลง" เป็นการแสดงอากัปกิริยาเทียบเท่าได้กับ"ฟักยู" ในอเมริกา(โชว์นิ้วกลาง)

เราไม่รู้ว่าประวัติของการห้ามทำสัญญามือของบราซิลนี้มีที่มา อย่างไร แต่มันก็เคยเกือบเป็นปัญหาประทศมาแล้วเมื่อ ปี 50 นิกสันมายืนอเมริกาและในขณะก้าวจากเครื่องบิน ฝูงชนรัวกล้องถ่ายรูปประชิดตัว และขณะนิกสันกำลังก้าวไปขึ้นรถนั้นเอง เขาก็ทำมือโอเคทักทายต่อหน้ากล้องและประธานาธิปตรีคนแรกของบราซิล แน่นอนคนบราซิลก็นึกว่านิกสันจะเตะผ่าหมากคนทั้งบราซิล

สรุปก็คือการมาเยือนของนิกสันในบราซิลครั้งนี้ก็คือการถูกต้อนรับด้วย ปัสสาวะ,อึ ที่กระหนำปาใส่รถลีมูซีนที่ท่านนั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง.......(ที่ไม่สุภาพ เพราะว่า การทำมือ o.k. โดยเอานิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้ จะเกิดเป็นรูกลมๆ ครับ ซึ่งชาวบราซิลถือว่ารูนี้ เปรียบกับ "รูทวาร" ในภาษาของเค้าใช้คำว่า Cu "กู" ถ้าจะด่าด้วยการใช้ภาษามือนี้ ซึ่งความหมายมันจะเหมือนประโยค Vai Tomar Nu Cu อ่านว่า " วาย โตมาร์ นู คู " (vai = ไป , tomar = กิน , nu = เปลือย , cu = รูทวาร) ซึ่งเป็นคำด่าหยาบมาก คงประมาณว่าไปตายซะ ! ไรทำนองนี้ ...)

ที่มาจากเว็บเด็กดี


GUCCI History

Gucci, or the House of Gucci, is an Italian haute couture establishment. It was founded by Guccio Gucci in Florence in 1921. Like many other high-fashion companies, Gucci began as a small, family-owned saddlery and leather goods store. Guccio Gucci was the son of an Italian merchant form the country's northern manufacturing region.

In 1898 Guccio Gucci left Florence in Italy to traveled to Paris and London, where he "gained an appreciation of cosmopolitan culture, sophistication, and aesthetics". So in 1905 he returned to Italy and started selling saddles and saddlebags, and was quite successful.

Gucci opened his first boutique in the family's native Florence in 1921 and quickly built a reputation for quality, hiring the best craftsmen he could find to work in his atelier. In 1932 Guccio Gucci created the loafer shoe with a gilded snaffle. These are the only shoes to have found a place in New York's Museum of Modern Art.

In 1938, Gucci expanded and a boutique was opened in Rome. Guccio was responsible for designing many of the company's most notable products. In 1947, Gucci introduced the bamboo handle handbag, which is still a company mainstay.

Guccio and his wife Aida Calvelli had a large family, six children in all, though only his sons - Vasco, Aldo, Ugo, and Rodolfo - would play a role in leading the company. After Guccio's death in 1953, Aldo helped lead the company to a position of international prominence, opening the company's first boutiques in London, Paris and New York.

Even in Gucci's fledgling years, the family was notorious for its ferocious infighting. Disputes regarding inheritances, stock holdings, and day-to-day operations of the stores often divided the family and led to alliances. As the Gucci expanded overseas, board meetings about the company's future often ended with tempers flaring and luggage and purses flying.

Gucci targeted the Far East for further expansion in the late 1960s, opening stores in Hong Kong and Tokyo. At that time, the company also developed its famous GG logo (Guccio Gucci's initials), the Flora silk scarf (worn prominently by Hollywood yctress Grace Kelly), and the Jakie O shoulder bag, made famous by Jackie Kennedy, the wife of U.S. President John F. Kennedy.

Gucci remained one of the premier luxury goods establishments in the world until the late 1970s, when a series of disastrous business decisions and family quarrels brought the company to the verge of bankruptcy. At the time, brothers Aldo and Rodolfo controlled equal 50% shares of the company, though Aldo felt that his brother contributed less to the company that he and his sons did.

In 1979, Aldo developed the Gucci Accessories Collection, or GAC, intended to bolster the sales for the Gucci Parfums sector, which his sons controlled. Aldo relegated control of Parfums to his son Roberto in an effort to weaken Rodolfo's control of the overall operations of the company. Though the Gucci Accessories Collection was well received, it proved to be the destabilizing force that brought the Gucci dynasty crashing down.

Within a few years, the Parfums division began outselling the Accessories division. The newly-founded wholesaling business had brought the once-exclusive brand to over a thousand stores in the United States alone with the GAC line, deteriorating the brand's standing with fashionable customers.

It didn't take long before counterfeiters ravaged the company's pomp by flooding the market with cheap knockoffs, further tarnishing the Gucci name. Meanwhile, infighting was taking its toll on the operations of the company back in Italy: Rodolfo and Aldo squabbled over the Parfums division, of which Rodolfo controlled a meager 20% stake.

By the mid-1980s, when Aldo was convicted of tax evasion in the United States by the testimony of his own son, the outrageous headlines of gossip magazines generated as much publicity for Gucci as its designs. In 1983 Rudolfo died of cancer, Maurizio his, inherited his share and took over running the business.

Maurizio allied with Aldo's son Paolo to gain control of the Board of Directors and established the Gucci Licensing division in the Netherlands for tax purposes. Following the decision, the rest of the family left the company and, for the first time in years, one man was at the helm of Gucci. Maurizio sought to bury the fighting that had torn the company and his family apart and turned to talent outside of the company for Gucci's future.